Can't find topic? find here

Adsense

Tuesday, December 15, 2009

ชุดเกราะจีนในสมัยต่างๆ

China Ancient Armours - เครดิตของเจ้าของเว็ปนี้



ทหารยุคราชวง ชาง(หรือฉาง) พอเจอ ณ ซากปรักหักพังอันหยาง หยิน . 1600ถึง1046ปีก่อนคริสตกาล




ยุคโจว ตะวันตกใช้เกราะที่บุจากผ้าฝ้ายและไหมเป็นส่วนใหญ่ . 1046ถึง771ปีก่อนคริสตกาล



โจวตะวันออก 770BC-256BC


นายทหารยุคฉิน
ใช้หนังเป็นตัวบุชุดเกราะในชั้นแรก. และวางสีเสื้อตาม ใช้ในปี221BC-206BC


































(บน)ทหารม้า ราบ และหอกของสมัยราชวงฉิน


ราชวงฮั่นตะวันตก เป็นยุคที่เกราะที่ทำจากเหล็กนั้นเริ่มเป็นที่นิยมมากและกลายเป็นส่วนหนึ่งของทหารทุกๆนายในโลก. 206BC-AD8

ราชวงฮั่นตะวันออก , หลายๆสิ่งหลายๆอย่างในยุคนี้มีส่วนไกล้เคียงกับสมัยฉิน.
คริสศักราช 25-คริสศักราช 220

ยุคสามก๊ก
AD220-AD280






ราชวงสุย ค.ศ.581-ค.ศ.618

ราชวงถัง , ค.ศ.618-ค.ศ.907




Tang Dynasty Armor

Five Dynasties Period ,The Five Dynasties Time Follows The Tang End System Basically, The Armor All With The Armor Piece Establishment, In The Construction Turns Two Coveralls. Throws Over The Arm And The Shoulder Pad Connects One; The Chest Carapace And Shinguard , Is Meets By Two Pectoral Girdles Around, Wraps Above The Shoulder Pad. AD907-AD960

Song Dynasty, Is Many Armor Leaves (Iron Sheet) One Kind Of Iron Armor Which Connects With The Rawhide Or The Armor Nail Becomes. It Protects The Whole Body Nearly, For China Ancient Armor's Apex. AD960-AD1279

Liao Armor ,What Mainly Uses Is The Tang End Five Dynasties And Song's Style, By Song Primarily. Armor's Superstructure And Song Dynasty Are Completely Same, Only Then Leg Skirt Obviously Compared To Song Dynasty's Short, Around Two Square Shapes Gu Tail Armor Cover Above Leg, Then Maintained The Tang End Five Dynasties' Characteristic. The Armor Protects The Abdomen Probably To Use The Leather Belt To Hang Before The Abdomen, Is Fixed With The Waistband, This Point And Song Dynasty's Leather Armor Is The Same, But Center The Front Large-Scale Circle Protects, Was Liao Unique.

Jin Armor ,The Armor Has The Length And The Spacious Leg Skirt, Formally Also Receives Northern Song Dynasty's Influence.

West Xia ,The XiXia Warrior Armor Dresses Up For The Whole Body, The Helmet, Throws Over The Arm And Song Dynasty Is Completely Same.

The 13th Century Mongolia Soldier,This Is A Study Time .

Yuan Dynasty Warriors Armor ,The Yuan Dynasty Armor Has Willow Leaf Armor, To Have The Iron Round First-Class. The Hard Round Armor Inner Layer Makes With The Cowhide, The Outer Layer For The Hard Net Armor, The Armor Piece Connected Like Scale, The Arrow Cannot Penetrate, The Manufacture Is Extremely Exquisite. In Addition Has Leather Armor, The Cloth Cover First-Class. AD1271—AD1368

Ming Dynasty ,High-Ranking Military Officer Armor, Also Take The Copper Steel As It, The Armor Piece's Shape, Many Are "W" Character Grain, The Manufacture Is Precise, Is Putting On Facilely. The Common Soldier Puts On Locks The Character Armor, Below Waist, But Also Has The Hard Bottom And The Net Trousers, Puts On The Hard Net Boots Fully. AD1368-AD1644

Qing Dynasty ,Common Helmet Hat, Regardless Or Uses The Leather Product With The Iron, In Table Finish Coat. Helmet Hat All Around Has A Liang Respectively, Before The Volume, Center Prominent Obstructs The Eyebrow Together, Above Has The Dance To Hold Up And The Duplicate Bowl, On The Bowl Has Takes The Form Of Winecup's Helmet Plate, The Helmet Plate Middle Vertical Stroke Has One Iron Which Or The Copper Pipe Inserts Ying The Gun, The Vulture Plume Either The Otter Tail Uses. Latter Hangs The Azurite Isochromatic Silk Removable Collar, Protects The Neck And The Earmuff, On Embroiders Has The Dermatoglyphic Pattern, And Decorates By The Copper Or The Iron Soaks The Nail. The Armor Divides The Armor Clothes And Encircles The Clothes. On The Armor Clothes Shoulder Is Loaded With The Shoulder Pad, Under The Shoulder Pad Has Protects The Armpit; In Addition And Behind Wears The Metal In The Front To Protect The Heart Mirror Together, Under The Mirror Front's Connecting Point Wears The Trapezoid To Protect The Abdomen Together In Addition, Named "Front Bumper". Left Side Of The Waist Wears "Keeps Off Left", Right Flank Does Not Wear Keeps Off, Remains Does Wears The Arrow Pouch To Need. AD1644-AD1912

Qing Dynasty Armor


The Massive Use's Armor Is The Soft Armor, Is The Crustification Has The Iron Sheet In The Firm Thick Wadding Or On The Silk Cotton Material, And Uses A Copper Nail Fixed Clock Armor. Seems, Looks Like A Soft Coat To Be The Same. The Soft Armor Has Certain Cold-Resistance, Suits North China The Measured Steps Cavalry Soldier To Use, In The Thick Cotton Material Is Inlaying The Iron Armor Leaf Densely, Has Certain Protection Capability To The Cold Weapons And The Firearm.

Tuesday, December 8, 2009

Ho Chi Minh's philosophy

(1890-05-19)
Ho Chi Minh's eyeglasses by thane.

 (19 พฤศภาคม 1890- 2 กรกฏาคม 1969 (อายุ79ปี))

  • "Nothing is more valuable than independence and freedom-ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการมีเอกราชและอิสรภาพ."
  • "Those who wish to seize Vietnam, must kill us to the last man, woman, and child-ใครอยากจะยึดเวียดนามจะต้องฆ่าทุกคนจนถึงเด็กคนสุดท้าย"

  • "I follow only one party: the Vietnamese party.-ฉันจะทำทุกอย่างเำพื่้อชาวเวียดนามเท่านั้น"
  •  
  • "You can kill ten of our men for every one we kill of yours. But even at those odds, you will lose and we will win." -คุณอาจจะฆ่าพวกเราได้10ในขณะที่พวกเราฆ่าท่านได้1ถึงกระนั้นท่านจะแพ้และเราจะชนะ.
  •  
  • "It is better to sacrifice everything than to live in slavery!"-ยอมเสียสละทุกอย่างดีกว่าการถูกใช้เยี่ยงทาส
  •  
  • "The Vietnamese people deeply love independence, freedom and peace. But in the face of United States aggression they have risen up, united as one man."-ในอกของชาวเวียดนามๆเรารักอิสรภาพและสันติ แต่เนื่องจากอเมริกาจู่โจมเรา เราจึงจำเป็นต้องลุกขึ้น และสามัคคีกัน

  • "When the prison doors are opened, the real dragon will fly out."-เมื่อคุกถูกเปิด มังกรตัวจริงจะปรากฏ

  • "It was patriotism, not communism, that inspired me."-ความรักชาติต่างหากที่เป็นแรงบันดาลใจ  ไม่ใช่คอมมิวนิสต์

 ประวัติของเขาแบบละเอียดเป็นภาษาอังกษ
http://www.tactileint.com/seasia/saigon/hochiminh.html

    Thursday, November 5, 2009

    The 5 Most Terrifying Civilizations In mankind History

    5 อารยธรรม ที่ขึ้นชื่อว่าน่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
    The 5 Most Terrifying Civilizations In The History of the World

    หลาย คนมักพูดอยู่เสมอว่าเราจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ทำไมให้ซ้ำๆ ซาก น่าเบื่อทำไม เนื้อหาของมันก็สมัยไหนก็ไม่รู้ไม่น่าสนใจเลย แต่ถึงกระนั้นหลายๆ คนก็ชอบประวัติศาสตร์ เราเรียนรู้เพื่อไม่ให้มันผิดพลาดครั้งที่สอง และหลายๆ คนชอบความโหดร้ายในประวัติศาสตร์ที่หาไม่ได้แล้วในโลกปัจจุบันนี้(แม้บาง ประเทศจะมีก็เถอะนะ)
    วันนี้ เราขอย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ไปดูอารยธรรมชาติต่างๆ 5 ชาติ ที่พวกเขามีวิธีกำจัดศัตรูของพวกเขาอย่างแสบสันต์ หรือมีวัฒนธรรมที่แสนสะพรึ่ง โลกทั้งโลกต้องหวาดกลัวพวกเขา....เป็นอย่างไรไปดูกัน
    (ปล. ตรง พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ?  เป็นความคิดเห็นของผมเองนะ จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ)

    เดอะ เซลทส์(The Celts)
     
              http://en.wikipedia.org/wiki/Celts
             
    พวก เขามีปัญหาแย่งชิงพื้นที่กับพวกโรมันอยู่เนื่องๆ ในประวัติศาสตร์บอกว่าเวลาจบการต่อสู้กับพวกศัตรูเมื่อไหร่ พวกเขามักเอาหัวของศัตรูไปประดับบ้าน ตกแต่งบ้านทั้งในและนอก ดังนั้นบ้านของพวก เซลทส์ จึงจะมักเต็มไปด้วยหัวของศัตรูราวกับว่าหัวนั้นเป็นเหมือนถ้วยรางวัลที่ได้ จากการแข่งขัน
    พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ? แหม...พวกชาวเซลทส์จำนวนน้อยนี้น่า ด้วยความเป็นลูกผู้ชาย มันต้องหาอะไรมาข่มขวัญให้ศัตรูรู้ว่า “พวกเราไม่...กลัวคุณเว้ย” สิ

    ชาวแอซแทค (The Aztecs)
     
    DOOM จนหลีกไปเมื่อเจอวิธีการกำจัดศัตรูของชาวแอซแทค(1325 – 1521 )ซึ่ง เป็นชนเผ่าในภาคตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ที่สังเวยศัตรู(บ้างก็ว่าเป็นชาวแอ คแทคเองนั้นแหละ) ให้แก่เทพดวงอาทิตย์ ซึ่งมันโหดร้ายและมันกว่าในเกมส์เยอะ โดยวิธีการคือ ขั้นแรกให้ ศัตรูอาบน้ำแล้วใส่เสื้อคลุมของเทพดวงอาทิตย์ พาขึ้นไปบนหอคอยสูง 30 เมตร ให้นักบวชชาวแอซเทคจับแขนขาไว้คนละข้างแล้วยึดไว้ ขณะที่อีกคนหยิบมีดหินใช้มันผ่าเปิดหน้าอกอย่างช้าๆ (ศัตรูคงดิ้นทรมานสุดฤทธิ์เลยนะนั้น)ดึงหัวใจที่กำลังเต้นของศัตรูออกมาชู หัวใจที่ยังเต้นขึ้นไปยังดวงอาทิตย์ จากนั้นก็กลิ้งศพลงมาตามขั้นบันได เอาไปให้คนชำแหละควักไส้,ถอดเล็บ ถลกหนังศีรษะและพวกเขาก็กินมันอย่างเอร็ดอร่อย(หรือเปล่า) บางครั้งพวกนักบวชอาจจะถลกหนังเหยื่อและนำมาคลุมร่างไว้ถึง 20 วัน โดยไม่อาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อเลย(คงเหม็นนะนั้น) ซึ่งจากสถิตแล้วพบว่า ปี 1487ชาวแอซเทคสังเวยคนไปตั้ง 2 หมื่นกว่าคนด้วยวิธีนี้ภายใน 4 วัน!
     พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ? ชาวแอซแทคเชื่อกันว่าการบูชายัญคือการสร้างสมดุลแห่งสกลจักรวาลระหว่างโลก กับดวงดาวต่างๆ ในอวกาศ ซึ่งถ้าไม่บูชายัญด้วยชีวิตมนุษย์เทพเจ้าจะบันดาลความพินาศแก่ชนเผ่า นอกจากนี้นักประวัติศาสตร์บางคนพบว่าเหตุผลหลักที่ชาวแอซแทคกินเนื้อมนุษย์ อาจเพราะชาวอาซแทคไม่ชอบในการเลี้ยงสัตว์และฆ่าสัตว์ ทำให้พวกเขามักเป็นโรคขาดสารอาหารเสมอ  ทำให้พิธีนี้จัดขึ้นให้พวกเขาได้กินโปรตีนสดๆอีกด้วย....

    ชาวอัสซีเรียน (Assyrians)
     
    ชาวอัสซีเรียน (Assyrians) เป็น อารยธรรมที่อยู่ในช่วงประมาณปี 3000 ก่อนคริสตกาล ตั้งมั่นในดินแดนทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย บนลุ่มแม่น้ำไทกรีส เจริญถึงขีดสุดในช่วงระหว่างปี 745-626 B.C. ซึ่งกองทัพของอัสซีเรียนมีระบบการรบที่น่ากลัวที่สุดในดินแดนเมโสเปเตเมียใน เวลานั้น คือการใช้กองทัพธนูเหล็กเป็นทัพหน้าตามด้วยกองพันทหารม้าและรถศึก นอกจากนี้พวกเขายังมีอาวุธที่น่าอัศจรรย์ใจนั้นคือเหล็ก(ขณะชาติอื่นยังใช้ อาวุธทองแดงและสำริด) ในการปรับปรามศัตรูนั้นอัสซีเรียทำอย่างเด็ดขาดและค่อนข้างโหดร้ายทารุณ เฉียบขาดด้วยการเผาที่อยู่อาศัยและฆ่าหรือกวดต้อนเชลย เวลาจะจัดการจะสัตว์ก็จะตัดแขนตัดขาศัตรูหรือถลกหนังมาติดกับกำแพงเมือง เพื่อข่มขวัญศัตรู
    พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ? เออ..... ยุคสงครามเนอะ วิธีข่มขวัญศัตรูแบบนี้ก็เห็นใช้บ่อยไป คงไม่เป็นไรหรอก เทียบกับสมัยนี้แล้วยังโชว์ตัดหัวคนออกทีวีเลย ซึ่งมันโหดกว่าวิธีการจัดการศัตรูของชาวอัสซีเรียนเยอะ

    ชาวสปาตัน (The Spartans )
     
    สปาตัน เป็นนครรัฐหนึ่งในกรีกโบราณ (546-371 BC )
    คุณ เคยเห็นหนัง 300 ไหม ขอบอกว่าเรื่องของชาวสปาตันนั้นโหดร้ายกว่าในภาพยนตร์เสียอีก ในฉากที่โดยเด็กทารกบนหน้าผานั้นนะ ขอบอกว่าเป็นเรื่องจริง พวกเขาจะกำจัดเด็กที่บกพร่องทางร่างกาย(รูปร่างไม่ปกติ พิกลพิการ) ด้วยการโยนลงหน้าผา จากนั้นเมื่ออายุ 7 ปี เด็กชายก็จะถูกพรากพ่อพรากแม่ไปสู่โลกแห่งความรุนแรง จนเป็นนักรบที่กล้าหาญ (ปล.หาได้แค่นี้แหละ)
    พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ? พวกเขาเกิดมาเป็นนักรบ สังคมของชาวสปาตันมีลักษณะแบบทหารเนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจากเฮอร์คิวลิส(Hercules) เด็กต้องออกจากครอบครัวเพื่อฝึกการต่อสู้ ให้ร่างกายและจิตใจแข็งแกร่ง โดนถือว่าเด็กเป็นสมบัติของรัฐไม่ใช้ของบิดา มารดา ทำให้ชาวสปาตันส่วนใหญ่เป็นทหาร ทำให้อาชีพไม่หลากหลาย ส่งผลทำให้นิสัยชาวสปาตันส่วนใหญ่จะเป็นแบบเก็บตัวในรัฐของตนเอง ไม่รู้หนังสือ ไม่คบค้า สมาคมจากอารยธรรมภายนอก จึงถูกมองว่าเป็นพวกป่าเถื่อนและโง่เขลา

    จักรวรรดิมองโกล
     
                    ให้ เราจินตนาการคนกว่า 100,000 คน มานั่งเต็มสนามสเดเตียมที่มีกว่า 400 หลังดู นั้นแหละคือจำนวนคราวๆ ที่ตกเป็นเหยื่อคมดาบ คมกระบี่ของจักรวรรดิมองโกเลีย
    จักรวรรดิ มองโกลเป็นจักรวรรดิที่มีอาณาเขตกว้างขวางมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ก่อตั้งโดย เจงกีส ข่าน เมื่อ ค.ศ. 1206 ครอบคลุมตั้งแต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงยุโรปตะวันออก ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 13-14
    ในยุโรป เรียกชาวมองโกลที่รุกรานว่า ตาร์ตาร์(Tartar) ซึ่งมีความหมายว่าผู้มาจากทาทารัส หรือขุมนรกที่ลึกที่สุดในตำนานของกรีก
    R. J. Rummel ประมาณการว่าในการรุกรานเพื่อขยายอาณาเขตของชาวมองโกล มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 30 ล้านคน และประชากรของประเทศจีนลดลงไปครึ่งหนึ่งในช่วง 50 ปี ภายใต้การปกครองของมองโกล ยุทธการในการสู้รบของมองโลกคือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนเผ่าที่ไม่ยอมจำนน เพื่อสร้างชื่อเสียงความกลัวแก่ศัตรูอื่นๆ
     ใน ปี ค.ศ. 1346 กองทัพมองโกล เข้าโจมตีเมืองแคฟฟาของอิตาลี กองทัพของมองโกลตั่งทัพอยู่นอกกำแพงอยู่นานไม่อาจเข้าโจมตีเข้าไปในค่ายได้ ต่อมาเกิดกาฬโรคหรือโรคห่าระบาดในกองทัพของมองโกล ทหารล้มตายเป็นเบือศพทหารกองท่วมค่าย แทนทีจะมีการนำศพนั้นไปฝังหรือเผา แม่ทัพมองโกลเกิดไอเดียกระฉูด นำศพทหารที่ตายด้วยโรคห่าใช้แทนก้อนหินเข้าเครื่องยิงข้ามเข้าไปในกำแพง เมืองแคฟฟา คนในเมืองแตกตื่นกับสภาพศพที่เห็น ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเป็นตุ่มพุพองช้ำเลือดช้ำหนองเน่าแฟะ หนำซ้ำเชื่อโรคยังระบายสู่ชาวเมือง ผู้คนล้มคายเป็นจำนวนมาก ที่เหลือลอดก็พากันหนีออกไปนอกเมือง จนในที่สุดไม่อาจต้านอาวุธเชื้อโรคของมองโกลได้เมืองจึงแตก
    หลัง จากที่เมืองแคฟฟา อิตาลีแตก กองทัพมองโกลจึงเคลื่อนทัพเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน เข้าโจมตีหมู่เกาะซิซิลี และยุโรปตะวันออกด้วยวิธีการเดียวกัน เพียงแค่ในเวลา 3 ปีในการทำสงคราม คาดว่ามีผู้คนล้มตายด้วยกาฬโรคไม่ต่ำกว่า 25 ล้านค
    นับ ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการนำอาวุธเชื้อโรคเข้ามาทำสงคราม และถือว่าเป็นวิธีการที่สกปรกและขยะขแยงที่สุดในหน้าหนึ่งเท่าที่ประวัติ ศาสตร์เคยบันทึกเอาไว้
    พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ? เออ.....มันเป็นยุคสงครามเนอะ



    Cradited to

    http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=486572&chapter=27

    Monday, November 2, 2009

    นายพลแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น:โทโจ ฮิเดกิ




    Hideki Tōjō
    東條 英機
    東条 英機

    นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
    ปฏิบัติหน้าที่
    18 ตุลาคม 1941 – 22 กรกฎาคม 1944
    สมัย Shōwa
    ดำรงตำแหน่้งแทน

    Fumimaro Konoe
    ผู้รับผิดชอบ Kuniaki Koiso

    ชาตะ
    มรณะ  23 ธันวาคม1948 (อายุ 63)
    แขวงฟูจิมาชิ
     กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น
    พรรคการเมือง พรรคจักรวรรดินิยม
    พรรคการเมืองอื่นที่เกี่ยวข้อง พรรคเสรี(ก่อนปีค.ศ.1940)
    โรงเรียนที่เคยศึกษามา โรงเรียนนายร้อยจักรวรรดิ
    วิทยาเขตทหารผ่านศึก
    ลายเซ็น


    ประวัติ
    ฮิเดกิเกิดปี 1884 ตำบลโคจิมาชิ ในกรุงโตเกียว    เป็นลูกคนที่สามของท่านฮิเดโนริ โทโจ นายพันของกองทัพบกกองจักรวรรดิ. พี่ชายของเขาทั้งสองคนตายก่อนเขาเกิด
       ปี1909 แต่งงานกับ Katsuko Ito มีลูกชาย 3 ลูกสาว 4 คน

    ก่อนเข้ามารับราชการทหาร

    (ซ้าย)โทโจ ตอนหนุ่ม
    Tōjō ได้รับประกาศณียบัตรรุ่นที่ 17 จากวิทยาเขตกองจักรวรรดิญี่ปุ่นในปี  1905, รุ่นที่ 42 ของ 50 , และได้ถูกเลื่อนตำแหน่งเป็น พันโทในกองทัพบก

    สถานะนายพล

        โทโจได้ถูกเลื่อนยศเป็นพลโทในปี 1933 และปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม
    ได้ดำรงตำแหน่งนายพลในปี 1934. ถึงกันยายนปี 1935, และได้อาสาไปเป็นผู้นำทหารอาสากวางตุ้งในมลฑลแมนจูเลีย    ชื่ิอเล่นของเขา "Razor-เรเซอร์" (คามิโซริ),
    ในฐานะผู้นำที่หลักแหลม และตัดสินใจเด็ดขาด
    ระหว่างวันที่ 26กุมภาพันธุ์ปี 1936 โทโจและ ชิเงรุ, ได้ส่งเสริม Sadao Araki, ที่จะก่อรัฐประหาร. ทำให้ สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ทรงตกตะลึงในเรื่องนี้อย่างมาก, กบฏกลุ่มนี้ถูกบังคับให้ยอมแพ้เสีย ในตอนจบ, โตเซฮะได้ทำลายหน่วยทหารที่เป็นชาตินิยมสุดโต่ง
     
     
    เป็นนายกรัฐมนตรี
    In October 18, 1941, Tōjō was appointed Army Minister in the second Fumimaro Konoe Cabinet, and remained in that post in the third Konoe Cabinet. He was a strong supporter of the Tripartite Alliance between Japan, Nazi Germany and Fascist Italy. As Army Minister he continued to expand the war with China.
    In order to further isolate China from external aid, Japan had invaded French Indochina in July 1941. In retaliation, the United States imposed economic sanctions on Japan in August, and imposed a total embargo on oil and gasoline exports.
    On 6 September, a deadline of early October was fixed in Imperial conference for continuing negotiations. On 14 October, the deadline had passed with no progress. Prime minister Konoe then held his last cabinet meeting, where Tōjō did most of the talking:
    For the past six months, ever since April, the foreign minister has made painstaking efforts to adjust relations. Although I respect him for that, we remain deadlocked...The heart of the matter is the imposition on us of withdrawal from Indochina and China...If we yield to America's demands, it will destroy the fruits of the China incident. Manchukuo will be endangered and our control of Korea undermined.[3]
    The prevailing opinion within the Japanese Army at that time was that continued negotiations could be dangerous. However, Hirohito thought that he might be able to control extreme opinions in the army by using the charismatic and well-connected Tōjō, who had expressed reservations regarding war with the West, although the emperor himself was skeptical that Tōjō would be able to avoid conflict. On October 13, he declared to Kōichi Kido: '"There seems little hope in the present situation for the Japan-U. S. negotiations. This time, if hostilities erupt, I might have to issue a declaration of war."[4]
    On 16 October, Konoe, politically isolated and convinced that the emperor no longer trusted him, resigned. Later, he justified himself to his chief cabinet secretary, Kenji Tomita:
    Of course his majesty is a pacifist, and there is no doubt he wished to avoid war. When I told him that to initiate war is a mistake, he agreed. But the next day, he would tell me: "You were worried about it yesterday, but you do not have to worry so much." Thus, gradually, he began to lead toward war. And the next time I met him, he leaned even more toward war. In short, I felt the Emperor was telling me: "My prime minister does not understand military matters, I know much more." In short, the Emperor had absorbed the views of the army and navy high commands.[5]

    Hideki Tōjō in military uniform
    At the time, Prince Higashikuni Naruhiko was said to be the only person who could control the Army and the Navy and was recommended by Konoe and Tōjō. Hirohito rejected this option, arguing that a member of the imperial family should not have to eventually carry the responsibility for a war against the Occident. Following the advice of Kōichi Kido, he chose instead Tōjō, who was known for his devotion to the imperial institution.[6] The Emperor summoned Tōjō to the Imperial Palace one day before Tōjō took office.
    Tōjō wrote in his diary, "I thought I was summoned because the Emperor was angry at my opinion." He was given one order from the Emperor: To make a policy review of what had been sanctioned by the Imperial conferences. Tōjō, who was on the side of the war, nevertheless accepted this order, and pledged to obey. According to colonel Akiho Ishii, a member of the Army General Staff, the prime minister showed a true sense of loyalty to the emperor performing this duty. For example, when Ishii received from Hirohito a communication saying the Army should drop the idea of stationing troops in China to counter military operations of occidental powers, he wrote a reply for the prime minister for his audience with the emperor. Tōjō then replied to Ishii: "If the emperor said it should be so, then that's it for me. One cannot recite arguments to the emperor. You may keep your finely phrased memorandum."[7]
    On November 2, Tōjō and Chiefs of Staff Hajime Sugiyama and Osami Nagano reported to Hirohito that the review had been in vain. The Emperor then gave his consent to war.[8]
    On 3 November, Nagano explained in detail the Pearl Harbor attack to Hirohito.[9]. The eventual plan drawn up by Army and Navy Chiefs of Staff envisaged such a mauling of the Western powers that Japanese defense perimeter lines—operating on interior lines of communications and inflicting heavy Western casualties—could not be breached. In addition, the Japanese fleet which attacked Pearl Harbor was under orders from Admiral Isoroku Yamamoto to be prepared to return to Japan on a moment's notice, should negotiations succeed.
    On 5 November, Hirohito approved in Imperial conference the operations plan for a war against the West and had many meetings with the military and Tōjō until the end of the month. On 1 December, another imperial conference finally sanctioned the "War against the United States, England and Holland".[10]

     As Prime Minister

    Tōjō continued to hold the position of Army Minister during his term as Prime Minister, from 18 October 1941 to 22 July 1944. He also served concurrently as Home Minister from 1941-1942, Foreign Minister in September 1942, Education Minister in 1943, and Commerce Minister in 1943.
    As Education Minister, he continued militaristic and nationalist indoctrination in the national education system, and reaffirmed illiberal policies in government. As Home Minister, he approved of various eugenics measures.
    His popularity was high in the early years of the war, as Japanese forces went from one victory to another. However, after the Battle of Midway, with the tide of war turning against Japan, Tōjō faced increasing opposition from within the government and military. To strengthen his position, in February 1944 Tōjō assumed the post of Chief of the Imperial Japanese Army General Staff. However, after the fall of Saipan, he was forced to resign on 18 July 1944. He retired to the first reserve list and went into seclusion.

     Capture, trial and execution

    After Japan's unconditional surrender in 1945, U.S. General Douglas MacArthur issued orders for the arrest of the first forty alleged war criminals, including Tōjō. Soon, Tōjō's home in Setagaya was besieged with newsmen and photographers. Inside, a doctor named Suzuki had marked Tōjō's chest with charcoal to indicate the location of his heart. When American military police surrounded the house on 8 September 1945, they heard a muffled shot from inside. Major Paul Kraus and a group of military police burst in, followed by George Jones, a reporter for The New York Times. Tōjō had shot himself 4 times in the chest, but despite shooting directly through the mark, the bullets missed his heart and penetrated his stomach. At 4:29, now disarmed and with blood gushing out of his chest, Tōjō began to talk, and two Japanese reporters recorded his words. "I am very sorry it is taking me so long to die," he murmured. "The Greater East Asia War was justified and righteous. I am very sorry for the nation and all the races of the Greater Asiatic powers. I wait for the righteous judgment of history. I wished to commit suicide but sometimes that fails."[11]
    He was arrested and underwent emergency surgery in a U.S. Army hospital, where he was cared for postoperatively by Capt. Roland Ladenson. After recovering from his injuries, Tōjō was moved to the Sugamo Prison.
    He was tried by the International Military Tribunal for the Far East for war crimes and found guilty of the following crimes:
    Hideki Tōjō accepted full responsibility in the end for his actions during the war. Here is a passage from his statement, which he made during his war crimes trial:
    It is natural that I should bear entire responsibility for the war in general, and, needless to say, I am prepared to do so. Consequently, now that the war has been lost, it is presumably necessary that I be judged so that the circumstances of the time can be clarified and the future peace of the world be assured. Therefore, with respect to my trial, it is my intention to speak frankly, according to my recollection, even though when the vanquished stands before the victor, who has over him the power of life and death, he may be apt to toady and flatter. I mean to pay considerable attention to this in my actions, and say to the end that what is true is true and what is false is false. To shade one's words in flattery to the point of untruthfulness would falsify the trial and do incalculable harm to the nation, and great care must be taken to avoid this.
    He was sentenced to death on 12 November 1948 and executed by hanging on 23 December 1948. In his final statements he apologized for the atrocities committed by the Japanese military and urged the American military to show compassion toward the Japanese people, who had suffered devastating air attacks and the two atomic bombs.[12]
    Tōjō is often considered responsible for authorizing the murder of millions of civilians in China, the Philippines, Indochina, and other Pacific island nations, as well as tens of thousands of Allied POWs.[citation needed] Tōjō is also implicated in government-sanctioned experiments on POWs and Chinese civilians (see Unit 731). Like his German counterparts, Tōjō often claimed to be carrying out orders; in his case those of the Emperor, who was granted immunity from war crimes prosecution.
    Many historians criticize the work done by MacArthur and his staff to exonerate Emperor Hirohito (Emperor Shōwa) and all members of the imperial family from criminal prosecutions. According to them, MacArthur and Brig. Gen. Bonner Fellers worked to protect the Emperor from the role he had played during and at the end of the war and attribute ultimate responsibility to Tōjō.[13]
    According to the written report of Shuichi Mizota (Mizota Shūichi), interpreter for Admiral Mitsumasa Yonai, Fellers met the two men at his office on 6 March 1946 and told Yonai that: "it would be most convenient if the Japanese side could prove to us that the Emperor is completely blameless. I think the forthcoming trials offer the best opportunity to do that. Tōjō, in particular, should be made to bear all responsibility at this trial."[14]
    The sustained intensity of this campaign to protect the Emperor was revealed when, in testifying before the tribunal on 31 December 1947, Tōjō momentarily strayed from the agreed-upon line concerning imperial innocence and referred to the Emperor's ultimate authority. The American-led prosecution immediately arranged that he be secretly coached to recant this testimony. Ryūkichi Tanaka, a former general who testified at the trial and had close connections with chief prosecutor Joseph Keenan, was used as an intermediary to persuade Tōjō to revise his testimony.[15]

    [edit] Legacy

    Tōjō's commemorating tomb is located in a shrine in Hazu, Aichi, and he is one of those enshrined at the controversial Yasukuni Shrine. He was survived by a number of his descendants, including his granddaughter, Yūko Tōjō, a right-wing nationalist and political hopeful who claims Japan's was a war of self-defense and that it was unfair that her grandfather was judged a Class-A war criminal. Tōjō's second son, Teruo Tōjō, who designed fighter and passenger aircraft during and after the war, eventually served as an executive at Mitsubishi Heavy Industries.

    [edit] Notes

    1. ^ Karnow, Stanley. "Hideki Tojo/Hideko Tojo". In Our Image: America's Empire in the Philippines. Random House (1989). ISBN 0394594759.
    2. ^ Toland, The Rising Sun
    3. ^ (Herbert Bix, Hirohito and the Making of Modern Japan, 2001, p.417, citing the Sugiyama memo)
    4. ^ Kido Kōichi nikki, Bungei Shunjūsha, 1990, p.914
    5. ^ Akira Fujiwara, Shôwa tennô no ju-go nen sensô (The Shôwa Emperor's Fifteen Years War), Aoki Shoten, 1991, p.126
    6. ^ Herbert Bix, Hirohito and the Making of Modern Japan, Harper Collins, 2001, p.418, Terasaki Hidenari,Shôwa tennô dokuhakuroku, Bungei Shunjûsha, 1991, p.118
    7. ^ Peter Wetzler, Hirohito and War, 1998, p.51,52
    8. ^ (Peter Wetzler, Hirohito and war, University of Hawai'i press, 1998, p.47-50, Bix, ibid. p.421)
    9. ^ (Wetzler, ibid. p. 29, 35)
    10. ^ (Wetzler, ibid. p.28-30, 39)
    11. ^ Toland, John (1970). The Rising Sun: The Decline and Fall of the Japanese Empire, 1936-1945. New York: Random House. pp. 871–872. LCCN 77-117669. 
    12. ^ (Toland, ibid, p. 873))
    13. ^ Herbert Bix, Hirohito and the making of modern Japan, 2001, p.583-585, John Dower, Embracing defeat, 1999, p.324-326
    14. ^ Kumao Toyoda, Sensō saiban yoroku, Taiseisha Kabushiki Kaisha, 1986, p.170-172, Bix, ibid. p.584
    15. ^ Dower, ibid. p.325, 604-605

    Friday, October 16, 2009

    Anna and the king(1999)

                       หนังเรื่องนี้ แอนนา แอน เดอะคิง คือหนังที่ถูกห้ามฉาย และเมื่อ50-60ปีที่แล้วคือหนังต้องห้ามฉายในไทยเพราะสมัยก่อนอาจารย์สมัยป .5ของผมเคยเล่าให้ผมฟังว่าเรื่องนี้ตั้งใจจะมาถ่ายทำในเกาะสมุยแต่เนื่องจาก ต้นฉบับจริงมีเนื้อหาที่รุนแรงและสมจริงมากๆ และในyoutubeเป็นแค่ส่วนหนึ่งของต้นฉบับ ในปัจจุบันเป็นแค่ส่วนเล็กๆเซ็นเซอร์ เพราฉะนั้นแอนนาจึงตัดสินใจย้ายกองถ่ายไปที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย และภาคสอง ซึ่งตั้งใจจะฉายในปี 1999 เรื่องนี้ไม่รุนแรงเท่ากับต้นฉบับ ก็เลยกล้าเผยแพร่ให้ชมได้(เพราะผมไม่อยากโดนโทษข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ)

    Proverb from Romance of Ancient China

    *เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต * - กวนอู

    *ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว * - เตียวหุย (เตียวหุยเป็นคนเจ้าอารมณ์หุนหันพลันแล่น ตอนตายนี่ตายเพราะถูกทหารของตัวเองฆ่า)

    *อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม * - ซุนวู

    *อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย * - ซุนวู



    *ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น * - เล่าปี
    *เพราะ แสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน" * - เล่าปี (ก้าวแรกของการจะเป็นใหญ่ของเล่าปี่ คืออาสาปราบโจรโพกผ้าเหลือง)


    *นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ * - ซีซี (ซีซีเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาให้เล่าปี่)

    *ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น * - เล่าปี่

    *จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3 * - ขงเบ้ง (ดีดพิณลวงสุมาอี้)

    *ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี * - ขงเบ้ง

    *มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว ถ้าเสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉียง* - พระเจ้าเลนเต้กับสิบขันที

    *คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว* - ข้อคิดจากนายพลโฮจิ๋นในมุมมองของโจโฉ

    *ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี* - ตั๋งโต๊ะ

    *ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย * - ลิโป้

    *เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร * - ลิโป้

    *เมื่อ เสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ * - ลิโป้

    *ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น* - ลิโป้

    *เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต * - กวนอู


    + กวนอู ถือเป็นเทพพระเจ้าแห่งความซื่อสัตย์นะ ไม่เทพเจ้าแห่งสงคราม กวนอูตายเพราะความซื่อสัตย์ที่มีต่อเล่าปี่ กวนอูเป็นคนเดียวในสามก๊ก ที่ผู้คนพากันยกย่องปั้นรูปบูชา

    + ลิโป้ คือเทพเจ้าแห่งสงคราม เพราะลิโป้ถือเป็นนักรบที่เก่งและแกร่งที่สุดในสามก๊กแล้วแหละ ประมาณว่า กวนอู+เตียวหุย+เล่าปี่ ลิโป้ยังน่าจะเก่งกว่าอีก แต่เก่งอย่างเดียว อย่างอื่นหาดีไม่ เพราะเป็นคนไร้คุณธรรม ชั่วช้า เลี้ยงไม่เชื่อง ไม่เคยซื่อสัตย์กับใคร สุดท้ายของชีวิตถูกทหารของตัวเองจับมัดเหมือนหมูเอาไปส่งให้โจโฉ

    Sunday, October 4, 2009

    Feed up

    Freebacklink