อันดับ 10 : Stanford Prison Experiment
การ ทดสอบคุกสแตนฟอร์ดเป็นการทดสอบทางจิตวิทยา เพื่อการศึกษาการตอบสนองของมนุษญ์เมื่อถูกจับกุมและผลกระทบต่อพฤติกรรมเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในเรือนจำ
การทดลองดำเนินการในปี 1971 โดยนักจิตวิทยา "ฟิลิป ซิมบาโด (Philip Zimbardo)" ของมหาลัยสแตนฟอร์ดมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้อาสาสมัครเป็นนักศึกษาทั้งหมด 20 คน มาเล่นบทนักโทษและผู้คุม(ทั้งหมดไม่รู้จักกันมาก่อน)ในคุกจำลองในชั้นใต้ดิน ของอาคารจิตวิทยาสแตนฟอร์ด 8 คนที่ถูกสุ่มจะได้เป็นผู้คุมจะได้ชุดฟอร์มและอุปกรณ์ครบมือ อีก 12 คนที่เหลือเป็นนักโทษ ซึ่งไม่มีสิทธิในฐานะความเป็นมนุษย์ใดๆทั้งสิ้น แล้วกำหนดเงื่อนไขสถานการณ์ต่างๆเข้าไประหว่างการทดลอง เพื่อให้ฝ่ายผู้คุมได้ใช้อำนาจของตนและให้ฝ่ายนักโทษปฏิบัติตาม (โดยห้ามใช้ความรุนแรงใดๆทั้งสิ้น หากใช้ความรุนแรงจะถูกตัดออกจากการทดลองทันที และจะไม่ได้เงินค่าจ้าง)
โดย ตอนแรกกะว่าจะทดลองสองสัปดาห์ แต่ปรากฏว่าล้มเหลวต้องหยุดกลางคันเพียงหกวันเท่านั้น เนื่องจากบทบาทของอาสาสมัครเกินขอบเขตที่จะคาดการณ์ได้และนำไปสู่สถานการณ์ ที่อันตรายและมีผลกระทบทางจิตใจ ตอนเริ่มต้นการทดลองพวกเขายังยิ้มแย้มหยอกล้อเล่นหัวกันแบบเพื่อน แต่เมื่อการทดลองนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าอาสาสมัครแต่ละคนแต่ละฝ่าย ค่อยๆอินกับบทบาทสมมติของตนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเริ่มทะเลาะกัน กลั่นแกล้งกัน ทำร้ายกันไปมา แล้วในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นผู้คุมจอมโหดและนักโทษเดนตายไปได้จริงๆ หนึ่งในสามของผู้คุมกลายเป็นคนที่มีนิสัยโหดร้ายทารุณชอบทรมานนัก โทษ(จำลอง)หลายคนจนบอบช้ำ และสองคนถูกตัดจากการทดลอง(บางแห่งระบุว่าเพราะสองคนนั้นตาย) ทำให้การทดลองนี้ล้มเหลวในที่สุด
การ ทดสอบคุกสแตนฟอร์ดเป็นการทดสอบทางจิตวิทยา เพื่อการศึกษาการตอบสนองของมนุษญ์เมื่อถูกจับกุมและผลกระทบต่อพฤติกรรมเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในเรือนจำ
การทดลองดำเนินการในปี 1971 โดยนักจิตวิทยา "ฟิลิป ซิมบาโด (Philip Zimbardo)" ของมหาลัยสแตนฟอร์ดมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้อาสาสมัครเป็นนักศึกษาทั้งหมด 20 คน มาเล่นบทนักโทษและผู้คุม(ทั้งหมดไม่รู้จักกันมาก่อน)ในคุกจำลองในชั้นใต้ดิน ของอาคารจิตวิทยาสแตนฟอร์ด 8 คนที่ถูกสุ่มจะได้เป็นผู้คุมจะได้ชุดฟอร์มและอุปกรณ์ครบมือ อีก 12 คนที่เหลือเป็นนักโทษ ซึ่งไม่มีสิทธิในฐานะความเป็นมนุษย์ใดๆทั้งสิ้น แล้วกำหนดเงื่อนไขสถานการณ์ต่างๆเข้าไประหว่างการทดลอง เพื่อให้ฝ่ายผู้คุมได้ใช้อำนาจของตนและให้ฝ่ายนักโทษปฏิบัติตาม (โดยห้ามใช้ความรุนแรงใดๆทั้งสิ้น หากใช้ความรุนแรงจะถูกตัดออกจากการทดลองทันที และจะไม่ได้เงินค่าจ้าง)
โดย ตอนแรกกะว่าจะทดลองสองสัปดาห์ แต่ปรากฏว่าล้มเหลวต้องหยุดกลางคันเพียงหกวันเท่านั้น เนื่องจากบทบาทของอาสาสมัครเกินขอบเขตที่จะคาดการณ์ได้และนำไปสู่สถานการณ์ ที่อันตรายและมีผลกระทบทางจิตใจ ตอนเริ่มต้นการทดลองพวกเขายังยิ้มแย้มหยอกล้อเล่นหัวกันแบบเพื่อน แต่เมื่อการทดลองนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าอาสาสมัครแต่ละคนแต่ละฝ่าย ค่อยๆอินกับบทบาทสมมติของตนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเริ่มทะเลาะกัน กลั่นแกล้งกัน ทำร้ายกันไปมา แล้วในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นผู้คุมจอมโหดและนักโทษเดนตายไปได้จริงๆ หนึ่งในสามของผู้คุมกลายเป็นคนที่มีนิสัยโหดร้ายทารุณชอบทรมานนัก โทษ(จำลอง)หลายคนจนบอบช้ำ และสองคนถูกตัดจากการทดลอง(บางแห่งระบุว่าเพราะสองคนนั้นตาย) ทำให้การทดลองนี้ล้มเหลวในที่สุด
อันดับ 9 : The Monster Study
"The Monster Study" เป็นการทดสอบการพูดติดอ่างของเด็ก โดยใช้เด็กกำพร้า 22 คน (อายุ 5-15) ในเมืองดาเวนพอร์ท รัฐไอโอวา ปี1939 ดำเนินการโดย"จอห์นสัน (Wendell Johnson)" แห่งมหาลัยไอโอวา จอห์นสันเลือกหนึ่งในนักศึกษาระดับบัณฑิตของเขา แมรี่ ทิวเดอร์(Mary Tudor)มาร่วมดำเนินการทดสอบและวิจัยดูแลเด็กกับด้วย
"The Monster Study" เป็นการทดสอบการพูดติดอ่างของเด็ก โดยใช้เด็กกำพร้า 22 คน (อายุ 5-15) ในเมืองดาเวนพอร์ท รัฐไอโอวา ปี1939 ดำเนินการโดย"จอห์นสัน (Wendell Johnson)" แห่งมหาลัยไอโอวา จอห์นสันเลือกหนึ่งในนักศึกษาระดับบัณฑิตของเขา แมรี่ ทิวเดอร์(Mary Tudor)มาร่วมดำเนินการทดสอบและวิจัยดูแลเด็กกับด้วย
สำหรับ วิธีการทดลองจอห์นสันจะแบ่งเด็กเป็นสองกลุ่ม เด็กกลุ่มหนึ่งจะได้รับฟังแต่คำพูดที่ดีคำพูดสรรเสริญในแง่บวก เด็กอีกกลุ่มได้รับฟังแต่ถ้อยคำที่หยาบช้า ทับถม ติเตียนแง่ลบ ผลการทดลองพบว่า เด็กที่ฟังแต่คำชมสามารถพูดคล่องแคล่วและพูดจาสุภาพ แต่ปัญหาของการทดลองนี้คือกลุ่มที่ 2 ที่เป็นกลุ่มเด็กที่ฟังด้วยคำพูดในแง่ลบ มีปัญหาทางจิต ดื้อ เก็บกด ไม่ค่อยกับคนอื่น สร้างโลกส่วนตัว ชอบพูดติดอ่าง และส่งผลกระทบต่อการใช้ภาษาไปชั่วระยะหนึ่ง การทดลองนี้ทำให้จอห์นสันเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมากและสังคมเริ่มตื่น ตัวกับการทดลองนี้เทียบเท่ากับการทดลองมนุษย์ของพวกนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมหาลัยไอโอวาต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณะชนในการทดลอง The Monster Study ในปี 2001 (และจ่ายเงินค่าเสียหายแก่เด็กกำพร้า 6 คน เป็นจำนวนถึง 920,000 ดอลลาร์)
อันดับ 8 : Project 4.1
รัฐบาล สหรัฐได้มีโครงการเกี่ยวกับการศึกษาการแพทย์ โดยการนำประชาชนจำนวนหนึ่งไปปล่อยบนเกาะมาร์แชล (Marshalls) เพื่อสัมผัสกัมมันตภาพรังสีที่ออกมาจากของเสียในเหตุการณ์ Castle Bravo ที่เกาะบิกีนี่ เมื่อ 1 มีนาคม 1954 ซึ่งเกาะแห่งนี้ได้รับปริมาณรังสีนี้ในปริมาณมากกว่าที่คาดคิด ผู้ทดลองได้รับกัมมันตภาพรังสีปริมาณหนึ่งๆอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสิ้นสุดโครงการ ก็สังเกตผลกระทบ ระยะแรกผู้เข้าร่วมโครงการยังปกติอยู่หากแต่อีกไม่กี่ปีต่อมา ผลกระทบก็ตามมา เช่น การแท้งบุตร มะเร็งต่อมไทรอยด์ เด็กที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติต่าง ฯลฯ จนโครงการนี้ได้ถูกประณามจากผู้เชี่ยวชาญว่า “พวกเขาถูกใช้เป็นหนูตะเภาทดสอบรังสี”
รัฐบาล สหรัฐได้มีโครงการเกี่ยวกับการศึกษาการแพทย์ โดยการนำประชาชนจำนวนหนึ่งไปปล่อยบนเกาะมาร์แชล (Marshalls) เพื่อสัมผัสกัมมันตภาพรังสีที่ออกมาจากของเสียในเหตุการณ์ Castle Bravo ที่เกาะบิกีนี่ เมื่อ 1 มีนาคม 1954 ซึ่งเกาะแห่งนี้ได้รับปริมาณรังสีนี้ในปริมาณมากกว่าที่คาดคิด ผู้ทดลองได้รับกัมมันตภาพรังสีปริมาณหนึ่งๆอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสิ้นสุดโครงการ ก็สังเกตผลกระทบ ระยะแรกผู้เข้าร่วมโครงการยังปกติอยู่หากแต่อีกไม่กี่ปีต่อมา ผลกระทบก็ตามมา เช่น การแท้งบุตร มะเร็งต่อมไทรอยด์ เด็กที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติต่าง ฯลฯ จนโครงการนี้ได้ถูกประณามจากผู้เชี่ยวชาญว่า “พวกเขาถูกใช้เป็นหนูตะเภาทดสอบรังสี”
อันดับ 7 : Project MKULTRA
"โครง การเอ็มเคอัลทรา" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "CIA mind-control research program" เป็นการทดลองลับๆ ที่หน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ"ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้
โครงการเอ็มเคอัลทราเป็นการศึกษาและทดลอง "การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" โดยใช้สารเคมีและสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงครามแรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐจะใช้อาวุธเคมีและ ชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขแก่ สถานการณ์ภายภาคหน้าเอาไว้ การทดลองนี้เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 และต่อเนื่องจนถึงปี 1960
มี ข่าวลื่อต่างๆนาๆเกี่ยวกับการทดลองนี้ว่าโครงการนี้ใช้ยาหลายประเภทรวม ทั้งวิธีการต่างๆ มาทดลองกับคนทดลองเพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจและสมองโดยไม่สนจะเต็มใจหรือไม่ สำหรับวิธีการทดลองพวกนักวิทยาศาสตร์ผู้เข้าร่วมโครงการนี้ การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation Center) ซึ่งปัจจุบันก็คือสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักโทษอาสาสมัครคดียาเสพติดนักโทษเหล่านี้จะต้อง เซ็นชื่อยินยอม อนุญาตให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสารเสพติดชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด
ต่อมาก็มีทดลองโดยฉีดยาหลอนประสาท LSD (Lysergic acid diethylamide) ให้กับลูกจ้าง CIA, ทหาร, แพทย์, ข้าราชการ, โสเภณี, ผู้ป่วยจิตเวช และบุคคลทั่วไปจำนวนหนึ่งซึ่งมีหลายระดับชนชั้นตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจน ถึงระดับไฮโซ มีทั้งคนอเมริกันและคนต่างชาติ เพื่อศึกษาฤทธิ์ของยา LSD ซึ่งคนที่ทดลองบางคนก็ยินยอม บางคนไม่ได้รับเนื้อหาการทดลอง และบางคนไม่ยอมให้ตนเองมาทดลองกับโครงการนี้ แต่กระนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิสมาชิกต่างก็พากัน ปฏิเสธกันให้พัลวันว่าไม่มีการทดลองที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว ในปี 1973 CIA ถูกสั่ง ให้ทำลายไฟล์ทั้งหมด ทำให้เอกสารเกี่ยวกับโครงการนี้ถูกทำลายเผาไหม้ไปด้วย ทำให้ไม่มีหลักฐานว่ามีการทดลองนี้เกิดขึ้นจริงใน CIA
"โครง การเอ็มเคอัลทรา" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "CIA mind-control research program" เป็นการทดลองลับๆ ที่หน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ"ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้
โครงการเอ็มเคอัลทราเป็นการศึกษาและทดลอง "การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" โดยใช้สารเคมีและสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงครามแรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐจะใช้อาวุธเคมีและ ชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขแก่ สถานการณ์ภายภาคหน้าเอาไว้ การทดลองนี้เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 และต่อเนื่องจนถึงปี 1960
มี ข่าวลื่อต่างๆนาๆเกี่ยวกับการทดลองนี้ว่าโครงการนี้ใช้ยาหลายประเภทรวม ทั้งวิธีการต่างๆ มาทดลองกับคนทดลองเพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจและสมองโดยไม่สนจะเต็มใจหรือไม่ สำหรับวิธีการทดลองพวกนักวิทยาศาสตร์ผู้เข้าร่วมโครงการนี้ การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation Center) ซึ่งปัจจุบันก็คือสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักโทษอาสาสมัครคดียาเสพติดนักโทษเหล่านี้จะต้อง เซ็นชื่อยินยอม อนุญาตให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสารเสพติดชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด
ต่อมาก็มีทดลองโดยฉีดยาหลอนประสาท LSD (Lysergic acid diethylamide) ให้กับลูกจ้าง CIA, ทหาร, แพทย์, ข้าราชการ, โสเภณี, ผู้ป่วยจิตเวช และบุคคลทั่วไปจำนวนหนึ่งซึ่งมีหลายระดับชนชั้นตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจน ถึงระดับไฮโซ มีทั้งคนอเมริกันและคนต่างชาติ เพื่อศึกษาฤทธิ์ของยา LSD ซึ่งคนที่ทดลองบางคนก็ยินยอม บางคนไม่ได้รับเนื้อหาการทดลอง และบางคนไม่ยอมให้ตนเองมาทดลองกับโครงการนี้ แต่กระนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิสมาชิกต่างก็พากัน ปฏิเสธกันให้พัลวันว่าไม่มีการทดลองที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว ในปี 1973 CIA ถูกสั่ง ให้ทำลายไฟล์ทั้งหมด ทำให้เอกสารเกี่ยวกับโครงการนี้ถูกทำลายเผาไหม้ไปด้วย ทำให้ไม่มีหลักฐานว่ามีการทดลองนี้เกิดขึ้นจริงใน CIA
อันดับ 6 : The Aversion Project
"โครงการ แห่ง ความเกลียดชัง" เป็นการทดลองของหน่วยงานตามนโยบาย การแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ ที่บังคับนำทหารรักร่วมเพศผิวขาว (เลสเบี้ย นและเกย์) มาทำการทดลอง "เปลี่ยนเพศ" (The Aversion Project) ซึ่งดำเนินตั้งแต่ปี 1970 และ 1980 โดยใช้สารเคมีที่มีผลทำให้หมดความรู้สึกทางเพศและเป็นหมัน (chemical castration) ใช้กระแสไฟฟ้าช็อต ปรับฮอร์โมน และอื่นๆ
การทดลองทางแพทย์ที่ผิดจรรยาบรรณนี้ไม่มีตัวเลขผู้ทดลองที่แน่นอน แต่ก็มีการประเมินว่าผู้ทดลองมีมากถึง 900 คนที่ถูกบังคับให้เปลี่ยนเพศ และอาจมีการดำเนินการระหว่าง 1971 และ 1989 ที่โรงพยาบาลทหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลับสุดยอด ผลกระทบต่อการทดลองนี้คือคนที่โดนทดลองกลายเป็นอาการทางจิต ไม่สามารถหายจากการติดยาเสพย์ติดได้ ต้องบำบัดอาการช็อกความเกลียดชังเรื่องเพศของตัวเอง และการรักษาฮอร์โมนและอื่นๆ
"โครงการ แห่ง ความเกลียดชัง" เป็นการทดลองของหน่วยงานตามนโยบาย การแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ ที่บังคับนำทหารรักร่วมเพศผิวขาว (เลสเบี้ย นและเกย์) มาทำการทดลอง "เปลี่ยนเพศ" (The Aversion Project) ซึ่งดำเนินตั้งแต่ปี 1970 และ 1980 โดยใช้สารเคมีที่มีผลทำให้หมดความรู้สึกทางเพศและเป็นหมัน (chemical castration) ใช้กระแสไฟฟ้าช็อต ปรับฮอร์โมน และอื่นๆ
การทดลองทางแพทย์ที่ผิดจรรยาบรรณนี้ไม่มีตัวเลขผู้ทดลองที่แน่นอน แต่ก็มีการประเมินว่าผู้ทดลองมีมากถึง 900 คนที่ถูกบังคับให้เปลี่ยนเพศ และอาจมีการดำเนินการระหว่าง 1971 และ 1989 ที่โรงพยาบาลทหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลับสุดยอด ผลกระทบต่อการทดลองนี้คือคนที่โดนทดลองกลายเป็นอาการทางจิต ไม่สามารถหายจากการติดยาเสพย์ติดได้ ต้องบำบัดอาการช็อกความเกลียดชังเรื่องเพศของตัวเอง และการรักษาฮอร์โมนและอื่นๆ
อันดับ 5 : North Korean Experimentation
มี รายงานจำนวนมากเกี่ยวกับการทดลองในมนุษย์ในค่ายกักกันของเกาหลีเหนือ รายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง และการทดลองนั้นคล้ายกับการทดลองมนุษย์ของนาซีและญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก ครั้งที่สองไม่มีผิด แต่กระนั้นข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ถูกปฏิเสธทั้งหมดโดย รัฐบาลเกาหลีเหนือ
อดีตนักโทษเกาหลีเหนือที่สามารถหลบหนีไปยังต่างประเทศได้บอกว่า นักโทษที่ค่ายกักกันเกาหลีเหนือถูกทดลองมนุษย์เสมือนพวกเขาเป็นสัตว์ไม่ใช้ คน และวิธีการทดลองนั้นสยดสยอง พวกเขายกตัวอย่างว่า 50 นักโทษหญิงที่สุขภาพดีจะถูกคัดเลือกและได้ถูกบังคับกินใบกะหล่ำปลีที่เต็มไป ด้วยพิษร้ายแรง (หากนักโทษไม่กินจะโดนซ้อมทั้งตัวนักโทษและครอบครัว) หลังจากที่ได้กินใบกระหล่ำปลีนักโทษจะส่งเสียงกรีดร้องและทุกข์ทรมาน หลังจากนั้น 20 นาทีต่อมาพวกเขาทั้งหมดอาเจียนเป็นเลือดออกทางปากและทางทวารหนัก ก่อนที่จะตายอย่างน่าสงสาร
ควอน ฮยอก (Kwon Hyok) อดีตผู้คุมหัวหน้ารักษาความปลอดภัยที่แคมป์ 22 บอกว่าพวกเขาจะมีห้องปฏิบัติการหลายห้องสำหรับทดลองก๊าซพิษ การสำลักอากาศ และการทดลองเลือด ซึ่งจะเลือก 3 ใน 4 คนหรือทั้งครอบครัวมาทดลอง หลังจากระยะการตรวจสอบต่างๆ พวกเขาจะถูกส่งไปยังห้องรมก๊าซ แพทย์จะฉีดยาพิษเข้าสู่ทดลองและพวกเขาก็มองผ่านกระจก มองดูคนทดลองตายอย่างช้าๆ อดีตผู้คุมอ้างว่าเขาได้เห็น 2 ครอบครัว พ่อ แม่ และลูกสาวตายจากการสำลักก๊าซ และผู้ปกครองอีกคนพยายามช่วยเด็กด้วยการเป่าปากให้กันไปตราบเท่าพวกเขายังคง มีลมหายใจอยู่
มี รายงานจำนวนมากเกี่ยวกับการทดลองในมนุษย์ในค่ายกักกันของเกาหลีเหนือ รายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง และการทดลองนั้นคล้ายกับการทดลองมนุษย์ของนาซีและญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก ครั้งที่สองไม่มีผิด แต่กระนั้นข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ถูกปฏิเสธทั้งหมดโดย รัฐบาลเกาหลีเหนือ
อดีตนักโทษเกาหลีเหนือที่สามารถหลบหนีไปยังต่างประเทศได้บอกว่า นักโทษที่ค่ายกักกันเกาหลีเหนือถูกทดลองมนุษย์เสมือนพวกเขาเป็นสัตว์ไม่ใช้ คน และวิธีการทดลองนั้นสยดสยอง พวกเขายกตัวอย่างว่า 50 นักโทษหญิงที่สุขภาพดีจะถูกคัดเลือกและได้ถูกบังคับกินใบกะหล่ำปลีที่เต็มไป ด้วยพิษร้ายแรง (หากนักโทษไม่กินจะโดนซ้อมทั้งตัวนักโทษและครอบครัว) หลังจากที่ได้กินใบกระหล่ำปลีนักโทษจะส่งเสียงกรีดร้องและทุกข์ทรมาน หลังจากนั้น 20 นาทีต่อมาพวกเขาทั้งหมดอาเจียนเป็นเลือดออกทางปากและทางทวารหนัก ก่อนที่จะตายอย่างน่าสงสาร
ควอน ฮยอก (Kwon Hyok) อดีตผู้คุมหัวหน้ารักษาความปลอดภัยที่แคมป์ 22 บอกว่าพวกเขาจะมีห้องปฏิบัติการหลายห้องสำหรับทดลองก๊าซพิษ การสำลักอากาศ และการทดลองเลือด ซึ่งจะเลือก 3 ใน 4 คนหรือทั้งครอบครัวมาทดลอง หลังจากระยะการตรวจสอบต่างๆ พวกเขาจะถูกส่งไปยังห้องรมก๊าซ แพทย์จะฉีดยาพิษเข้าสู่ทดลองและพวกเขาก็มองผ่านกระจก มองดูคนทดลองตายอย่างช้าๆ อดีตผู้คุมอ้างว่าเขาได้เห็น 2 ครอบครัว พ่อ แม่ และลูกสาวตายจากการสำลักก๊าซ และผู้ปกครองอีกคนพยายามช่วยเด็กด้วยการเป่าปากให้กันไปตราบเท่าพวกเขายังคง มีลมหายใจอยู่
อันดับ 4 : Poison laboratory of the Soviets
ห้อง ปฏิบัติการพิษของหน่วยลับโซเวียต เป็นการทดลองวิจัยเกี่ยวกับสารพิษต่างๆ ที่พัฒนาในสถานที่หน่วยงานตำรวจลับของโซเวียตภายใต้การนำของ Pavel Sudoplatov โดยโซเวียตทดสอบสารพิษร้ายแรงชนิดต่างๆ กับนักโทษจากคุก Gulag โดยการสูด ดม กิน ดื่ม ที่มีส่วนผสมสารพิษ เช่นก๊าซมัสตาร์ด ไรซิน เป็นสารพิษที่อาจอยู่ในรูปของฝุ่นผง ละอองหรือเป็นเม็ด ไดจิท็อกซิน และยาพิษอื่นๆ อีกหลายขนาน เป้าหมายของการทดสอบเพื่อหาสารพิษที่ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ส่งผลให้เหยื่อการทดลองมีร่างกายเปลี่ยนไป และบางรายตายภายในสิบห้านาที
ห้อง ปฏิบัติการพิษของหน่วยลับโซเวียต เป็นการทดลองวิจัยเกี่ยวกับสารพิษต่างๆ ที่พัฒนาในสถานที่หน่วยงานตำรวจลับของโซเวียตภายใต้การนำของ Pavel Sudoplatov โดยโซเวียตทดสอบสารพิษร้ายแรงชนิดต่างๆ กับนักโทษจากคุก Gulag โดยการสูด ดม กิน ดื่ม ที่มีส่วนผสมสารพิษ เช่นก๊าซมัสตาร์ด ไรซิน เป็นสารพิษที่อาจอยู่ในรูปของฝุ่นผง ละอองหรือเป็นเม็ด ไดจิท็อกซิน และยาพิษอื่นๆ อีกหลายขนาน เป้าหมายของการทดสอบเพื่อหาสารพิษที่ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ส่งผลให้เหยื่อการทดลองมีร่างกายเปลี่ยนไป และบางรายตายภายในสิบห้านาที
อันดับ 3 : Tuskegee Syphilis Study
ค.ศ.1972 เกิดข่าวเสื่อมเสียเกี่ยวกับการทดลองศึกษาโรคซิฟิลิสในอเมริกา เรียกว่า Tuskegee Syphilis Study ซึ่งดำเนินการมา ตั้งแต่ ค.ศ.1932 -1972 ระยะเวลานานถึง 40 ปี ใน Tuskegee เมืองชนบทในมลรัฐอลาบามา โดย U.S. Public Health Service (PHS) ของอเมริกาที่ต้องการศึกษาการเจริญเติบโตของโรคซิฟิลิส เพื่อเข้าใจโรคที่ยังไม่มียารักษา
โดยการทดลองนี้คือการการฉีดยาให้แก่ผู้ทดลองที่เป็นคนผิวดำกว่า 412 คน(ชุดแรก) ในย่านอาศัยแถวนั้น โดยคนผิวดำส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือและยากจน จากนั้นก็ศึกษาวิจัยการดำเนินโรคซิฟิลิสตามธรรมชาติในคน โดยที่ผู้โชคร้ายเหล่านี้เข้าใจว่าตนกำลังได้รับการรักษาจากรัฐ โดยไม่เคยมีใครบอกให้รู้ว่าเป็นโรคอะไร และจะไม่ได้รับการแจ้งว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และไม่ได้รับการรักษาใดๆเลย มีการทำหัตถการหลายอย่างเพียงเพื่อการศึกษาวิจัย เช่น การเจาะหลังเพื่อนำน้ำไขสันหลังไปตรวจ เป็นต้น
ตอนแรกการทดลองวางกำหนดการณ์ไว้ที่ไม่กี่เดือน แต่การวิจัยครั้งนี้กลับดำเนินการต่อเนื่องถึง 40 ปี ส่งผลให้ผู้ถูกทดลองรอดชีวิตเพียงประมาณ 70 คนจากทดลอง (ไม่รวมผู้ที่ติดเชื้อจากการทดลองนี้) แล้วสิ่งที่ได้คือวงการแพทย์ได้ศึกษาเกี่ยวกับซิฟิลิสอย่างละเอียด นิวยอร์ก ไทม์ ได้ประนามการทดลองนี้ว่า "เป็นการทดลองที่ไม่มีการให้ยารักษา ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการแพทย์" เป็นการทดลองที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย อีกทั้งโรคนี้มียารักษามานานแล้ว เห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และมีการกระจายภาระไม่เป็นธรรมโดยเลือกแต่ชาวผิวดำในพื้นที่ยากจน ส่งผลให้ประธานาธิบดีแถลงขอโทษต่อผู้เข้าร่วมโครงการที่ยังมีชีวิตอยู่ และเสนอให้ดูแลชดใช้ความเสียหายอันเกิดจากโครงการวิจัย ในปี ค.ศ. 1997 ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้เข้าทำเนียบขาวเพื่อรับฟังคำกล่าวขออภัยจากประธานาธิบดีคลินตัน นำไปสู่การออกกฎหมายควบคุมดูแลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา (National Research Act)
ค.ศ.1972 เกิดข่าวเสื่อมเสียเกี่ยวกับการทดลองศึกษาโรคซิฟิลิสในอเมริกา เรียกว่า Tuskegee Syphilis Study ซึ่งดำเนินการมา ตั้งแต่ ค.ศ.1932 -1972 ระยะเวลานานถึง 40 ปี ใน Tuskegee เมืองชนบทในมลรัฐอลาบามา โดย U.S. Public Health Service (PHS) ของอเมริกาที่ต้องการศึกษาการเจริญเติบโตของโรคซิฟิลิส เพื่อเข้าใจโรคที่ยังไม่มียารักษา
โดยการทดลองนี้คือการการฉีดยาให้แก่ผู้ทดลองที่เป็นคนผิวดำกว่า 412 คน(ชุดแรก) ในย่านอาศัยแถวนั้น โดยคนผิวดำส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือและยากจน จากนั้นก็ศึกษาวิจัยการดำเนินโรคซิฟิลิสตามธรรมชาติในคน โดยที่ผู้โชคร้ายเหล่านี้เข้าใจว่าตนกำลังได้รับการรักษาจากรัฐ โดยไม่เคยมีใครบอกให้รู้ว่าเป็นโรคอะไร และจะไม่ได้รับการแจ้งว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และไม่ได้รับการรักษาใดๆเลย มีการทำหัตถการหลายอย่างเพียงเพื่อการศึกษาวิจัย เช่น การเจาะหลังเพื่อนำน้ำไขสันหลังไปตรวจ เป็นต้น
ตอนแรกการทดลองวางกำหนดการณ์ไว้ที่ไม่กี่เดือน แต่การวิจัยครั้งนี้กลับดำเนินการต่อเนื่องถึง 40 ปี ส่งผลให้ผู้ถูกทดลองรอดชีวิตเพียงประมาณ 70 คนจากทดลอง (ไม่รวมผู้ที่ติดเชื้อจากการทดลองนี้) แล้วสิ่งที่ได้คือวงการแพทย์ได้ศึกษาเกี่ยวกับซิฟิลิสอย่างละเอียด นิวยอร์ก ไทม์ ได้ประนามการทดลองนี้ว่า "เป็นการทดลองที่ไม่มีการให้ยารักษา ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการแพทย์" เป็นการทดลองที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย อีกทั้งโรคนี้มียารักษามานานแล้ว เห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และมีการกระจายภาระไม่เป็นธรรมโดยเลือกแต่ชาวผิวดำในพื้นที่ยากจน ส่งผลให้ประธานาธิบดีแถลงขอโทษต่อผู้เข้าร่วมโครงการที่ยังมีชีวิตอยู่ และเสนอให้ดูแลชดใช้ความเสียหายอันเกิดจากโครงการวิจัย ในปี ค.ศ. 1997 ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้เข้าทำเนียบขาวเพื่อรับฟังคำกล่าวขออภัยจากประธานาธิบดีคลินตัน นำไปสู่การออกกฎหมายควบคุมดูแลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา (National Research Act)
อันดับ 2 : Unit 731
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นที่มาของการก่อตั้งหน่วยปฏิบัติการ 731 ด้วยเหตุว่าเมื่อเกิดสงครามเป้าหมายคือชัยชนะ ทั้งสองฝ่ายต่างงัดเล่ห์เพทุบายมาใช้โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมหรือความชอบธรรม ใดๆ และสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งคือการใช้สารพิษและ อาวุธชีวภาพ หรือพูดง่ายๆว่าอาวุธเชื้อโรคเพื่อทำลายพลเมืองทีละเป็นแสนคน จนเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่สุดในอาชญากรรมสงครามของญี่ปุ่น
"หน่วย ปฏิบัติการ 731" (1937-1947) เป็นชื่อหน่วยปฏิบัติการทางการแพทย์ของญี่ปุ่น ภายใต้การควบคุมกำกับโดยนายแพทย์ อิชิอิ ชิโร (Shiro Ishii) การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ในการสร้างพัฒนาอาวุธเชื้อโรคเพื่อใช้ในสงคราม อย่างมีประสิทธิภาพ และการทดลองนี้จำเป็นที่ต้องใช้มนุษย์เป็นๆในการทดลองจำนวนมาก หน่วยนี้ได้ถูกส่งมายังประเทศจีนและเลือกเมืองฮาร์ปินเป็นที่ตั้ง และปกปิดชื่อโครงการโดยใช้ชื่อ “หน่วยงานพิเศษเพื่อการศึกษาภูมิคุ้มกันและการบำบัดน้ำเสีย” จากนั้นนายทหารผู้ช่วยให้ตระเวนจับชาวจีนหรือรัสเซียผู้โชคร้ายมายังห้อง ปฏิบัติการ เพื่อทดลองมนุษย์ตัวเป็นๆ
การทดลองของโครงการ นี้มีหลายอย่าง เช่น การผ่ามนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ การใส่สารพิษที่คิดค้นมาใหม่ลงไปในอาหารและน้ำดื่ม เพื่อฆ่าประชาชนทีละมากๆ การบังคับให้หญิงสาวร่วมเพศกับชายที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสนับสิบคน เพื่อศึกษาการพัฒนาเชื่อซิฟิลิสที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ การฉีดเลือดสัตว์ที่มีเชื่อเข้าร่างกายมนุษย์ที่ถูกจับมาเป็นเหยื่อ เพื่อดูผลการแพร่เชื้อในมนุษย์เป็นๆ การจับเหยื่อห้อยหัวลงจนกว่าจะตาย เพื่อทดสอบความทนในการเอาชีวิตรอด การจับเหยื่อเข้าไปในห้องทดลอง และอัดความดันหรือดูดอากาศออกจนร่างระเบิดเละ การจับมนุษย์เปลือยร่างแช่ในน้ำอุณหภูมิติดลบ การตัดเอาชิ้นส่วนมนุษย์ออก เช่น ตัดกระเพาะออกจากนั้นนำลำไส้ต่อตรงมาที่หลอดอาหารเพื่อดูว่ามนุษย์ไม่มี กระเพาะอาหารจะมีชีวิต อยู่ได้หรือไม่ การตัดแขนขาและนำต่อใหม่ด้วยการสลับข้าง ฯลฯ ซากของเหยื่อผู้ เคราะห์ร้ายจะถูกโยนเข้าไปในเตาเผาด้านหลังของหน่วยปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้คือภารกิจของหน่วยปฏิบัติการ 731
สิ่ง ที่น่าตะหนกคือ หน่วยปฏิบัติการ 731 ได้เคยทดลองใช้อาวุธชีวภาพเพื่อฆ่ามนุษย์ทั้งในห้องปฏิบัติการและในสนามรบ ของประเทศจีนมากกว่า 2,700 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตล้มตายนับจำนวนไม่ได้ มีการลอบใส่สารพิษลงไปในน้ำดื่มและอาหารที่ประชาชนบริโภค การโปรยหมัดที่ติดเชื้อรุนแรงลงไปในเมืองใหญ่ๆ ปล่อยเชื้อไข้ไทฟอยด์ อหิวาห์ บิด ลงไปในน้ำดื่ม การใช้ก๊าซพิษฆ่าคนทีละมากๆ ในเวลาต่อมาเมื่อหน่วยถูกยุบ นายแพทย์อิชิอิ ชิโร ไม่ได้ถูกตัดสินหรือจำคุกในฐานะอาชญากรในสงครามใดๆทั้งสิ้น เขาเสียชีวิตลงเมื่ออายุ 67 โดยโรคมะเร็งลำคอ
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นที่มาของการก่อตั้งหน่วยปฏิบัติการ 731 ด้วยเหตุว่าเมื่อเกิดสงครามเป้าหมายคือชัยชนะ ทั้งสองฝ่ายต่างงัดเล่ห์เพทุบายมาใช้โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมหรือความชอบธรรม ใดๆ และสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งคือการใช้สารพิษและ อาวุธชีวภาพ หรือพูดง่ายๆว่าอาวุธเชื้อโรคเพื่อทำลายพลเมืองทีละเป็นแสนคน จนเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่สุดในอาชญากรรมสงครามของญี่ปุ่น
"หน่วย ปฏิบัติการ 731" (1937-1947) เป็นชื่อหน่วยปฏิบัติการทางการแพทย์ของญี่ปุ่น ภายใต้การควบคุมกำกับโดยนายแพทย์ อิชิอิ ชิโร (Shiro Ishii) การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ในการสร้างพัฒนาอาวุธเชื้อโรคเพื่อใช้ในสงคราม อย่างมีประสิทธิภาพ และการทดลองนี้จำเป็นที่ต้องใช้มนุษย์เป็นๆในการทดลองจำนวนมาก หน่วยนี้ได้ถูกส่งมายังประเทศจีนและเลือกเมืองฮาร์ปินเป็นที่ตั้ง และปกปิดชื่อโครงการโดยใช้ชื่อ “หน่วยงานพิเศษเพื่อการศึกษาภูมิคุ้มกันและการบำบัดน้ำเสีย” จากนั้นนายทหารผู้ช่วยให้ตระเวนจับชาวจีนหรือรัสเซียผู้โชคร้ายมายังห้อง ปฏิบัติการ เพื่อทดลองมนุษย์ตัวเป็นๆ
การทดลองของโครงการ นี้มีหลายอย่าง เช่น การผ่ามนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ การใส่สารพิษที่คิดค้นมาใหม่ลงไปในอาหารและน้ำดื่ม เพื่อฆ่าประชาชนทีละมากๆ การบังคับให้หญิงสาวร่วมเพศกับชายที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสนับสิบคน เพื่อศึกษาการพัฒนาเชื่อซิฟิลิสที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ การฉีดเลือดสัตว์ที่มีเชื่อเข้าร่างกายมนุษย์ที่ถูกจับมาเป็นเหยื่อ เพื่อดูผลการแพร่เชื้อในมนุษย์เป็นๆ การจับเหยื่อห้อยหัวลงจนกว่าจะตาย เพื่อทดสอบความทนในการเอาชีวิตรอด การจับเหยื่อเข้าไปในห้องทดลอง และอัดความดันหรือดูดอากาศออกจนร่างระเบิดเละ การจับมนุษย์เปลือยร่างแช่ในน้ำอุณหภูมิติดลบ การตัดเอาชิ้นส่วนมนุษย์ออก เช่น ตัดกระเพาะออกจากนั้นนำลำไส้ต่อตรงมาที่หลอดอาหารเพื่อดูว่ามนุษย์ไม่มี กระเพาะอาหารจะมีชีวิต อยู่ได้หรือไม่ การตัดแขนขาและนำต่อใหม่ด้วยการสลับข้าง ฯลฯ ซากของเหยื่อผู้ เคราะห์ร้ายจะถูกโยนเข้าไปในเตาเผาด้านหลังของหน่วยปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้คือภารกิจของหน่วยปฏิบัติการ 731
สิ่ง ที่น่าตะหนกคือ หน่วยปฏิบัติการ 731 ได้เคยทดลองใช้อาวุธชีวภาพเพื่อฆ่ามนุษย์ทั้งในห้องปฏิบัติการและในสนามรบ ของประเทศจีนมากกว่า 2,700 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตล้มตายนับจำนวนไม่ได้ มีการลอบใส่สารพิษลงไปในน้ำดื่มและอาหารที่ประชาชนบริโภค การโปรยหมัดที่ติดเชื้อรุนแรงลงไปในเมืองใหญ่ๆ ปล่อยเชื้อไข้ไทฟอยด์ อหิวาห์ บิด ลงไปในน้ำดื่ม การใช้ก๊าซพิษฆ่าคนทีละมากๆ ในเวลาต่อมาเมื่อหน่วยถูกยุบ นายแพทย์อิชิอิ ชิโร ไม่ได้ถูกตัดสินหรือจำคุกในฐานะอาชญากรในสงครามใดๆทั้งสิ้น เขาเสียชีวิตลงเมื่ออายุ 67 โดยโรคมะเร็งลำคอ
อันดับ 1 : Nazi Experiments
การ ทดลองมนุษย์ของนาซีเป็นการทดลองมนุษย์ที่ใช้มนุษย์เป็นๆจำนวนมาก และสังเวยชีวิตกับการทดลองนี้มากเช่นกัน ใน "ค่ายเอาชวิตซ์" (Auschwitz) และดาเชา (Dachau) และที่ค่ายกักกันอื่นๆ ทั่วยุโรป นักโทษที่ส่วนใหญ่เป็นชาวยิวหรือชาวรัสเซียนั้นถูกพวกนาซีใช้เป็นหนูตะเภาใน การทดลองทางการแพทย์หลายอย่าง
ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ในการคิดค้นยา ละการหาวิธีการรักษาทหารเยอรมันจากโรคภัยและอันตรายที่เกิดขึ้นเนื่องๆใน ระหว่างสงคราม วัตถุประสงค์ทางการทหาร โดยได้รับเงินสนับสนุนจากกองกำลังทหารนาซี แพทย์เหล่านั้นมิใช่ถูกบังคับข่มขู่ แต่เป็นการกระหายใคร่รู้ในผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์โดยไม่มีเหตุผลไม่คำนึงถึง ศีลธรรมและไร้ซึ่งจรรยาบรรณ เมื่อคำพิพากษาหนึ่งเดียวสำหรับนักโทษชาวเยอรมัน เชลยชาวยิว โปแลนด์ เชค รัสเซีย ฯลฯ คือ "ไร้ค่า" แพทย์ในคราบสัตว์กระหายเลือดเฝ้ารอคำสั่งจากท่านผู้นำฮิตเลอร์ให้ใช้นักโทษ "ทดลอง" เพื่อความรุ่งเรืองของเยอรมนี
นักวิจัยที่มีชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงที่สุดก็คือ Dr.Sigmund Rascher เป็นผู้ควบคุมการทดลองในดาเชา และยังเป็นคนคิดค้นวิธีการทดลองแนวไซโคแบบต่างๆ เช่น การฉีดไข้มาเลียให้นักโทษที่มีร่างกายปกติดี (ประมาณ 1,100 ในค่ายคาเคา) เพื่อให้คนเหล่านั้นเป็นไข้ขึ้นมา แล้วจึงทดลองรักษาด้วยการใช้ยาชนิดต่างๆ เพื่อศึกษาผล ปรากฏว่า นักโทษหนูตะเภาและนักโทษอื่นๆที่ร่างกายอ่อนแอก็พลอยรับเชื้อติดต่อจากนัก โทษคนอื่นๆไปด้วย ทำให้มีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิตไปในการทดลองครั้งนี้
นอกจากนี้พวกนาซียังทดลองเรื่องสภาวะความกดดันอากาศลดต่ำโดยฉับ พลัน (Decompression) ซึ่งสภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินถูกยิงในขณะบินในระดับสูงๆ อันทำให้ความกดดันอากาศในห้องนักบินที่ปรับไว้พอดีสำหรับร่างกายของมนุษย์ เกิดลดต่ำอย่างกะทันหัน นักโทษที่เป็นหนูตะเภาจะต้องถูกนำไปใส่ห้องที่ปรับความดันอากาศต่ำ และสังเกตอาการ ซึ่งอาการที่ปรากฏก็คือขาดออกซิเจนจนตัวเขียว หายใจเร็ว หนาว อาเจียน จนหมดสติ มีบันทึกของนักโทษคนหนึ่งในค่ายคาเคาที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการทดลองนี้ ว่ามีนักโทษ 200 คนเข้ามาเป็นหนูทดลอง มีคนตาย 70-80 คน
การทดลองเพื่อหาวิธีช่วยชีวิตนักบินทหารอีกอย่าง คือการทดลองคนที่หนาวจนแข็ง เพราะนักบินอาจตกลงในน้ำทะเลที่เย็นจัด เมื่อช่วยนักบินขึ้นจากน้ำแล้วจะมีวิธีใดที่ทำให้ร่างกายของเขาอบอุ่นโดย เร็ว ดังนั้นนักโทษจึงถูกสวมชุดนักบิน แล้วนำไปแช่อ่างที่มีน้ำเย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง ให้หนาวจนถึงที่สุดแล้วนำไปให้ความอบอุ่นด้วยวิธีต่างๆ ถ้าไม่สำเร็จก็ตายไป นอกจากนี้ยังมีการทดลองเกี่ยวกับโรคทั่วไป เช่น วัณโรค เชื้อหนองที่ทำให้เป็นแผลอักเสบ ซึ่งกระทำโดยการฉีดเชื้อเหล่านี้ให้กับนักโทษเพื่อลองยา และที่น่าหดหู่ใจกว่านั้นก็คือ ท้ายที่สุดเหยื่อผู้รอดชีวิตทั้งหมดจะต้องถูกยิงตายในที่สุด แม้ว่าจะรอดจากการทดลองก็ตาม
การพยายามผ่ากะโหลกศีรษะของเหยื่อออกเป็นสองซีก ในขณะที่เหยื่อยังมีสติดีอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะต้องการตรวจสอบระบบการทำงานของสมองมนุษย์ขณะที่ยังมีลมหายใจ นั่นเอง นักวิจัยที่มีชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงที่สุดอีกคนคือ ดร.โจเซฟ แม็งเกเล่ (Josef Mengele) ผู้ควบคุมการทดลองมนุษย์ในค่ายเอาชวิตซ์ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการตัดอวัยวะเพศหรืออวัยวะบางส่วนเพื่อการทดสอบ เรื่องยีน โดยไม่ใช้ยาสลบ การนำนักโทษหญิงมาทดลองต่อกระแสไฟฟ้าว่าชาร์ตสูงเพียงใดถึงจะมีชีวิต การเอานักโทษมาเอ็กซ์เรย์อวัยวะเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ โดยไม่สนใจว่าถ้าปล่อยกระแสไฟฟ้านานๆ จะทำให้อวัยวะนั้นถูกเผาไหม้ ฯลฯ
การทดลองปลูกถ่ายอวัยวะ โดยการผ่าตัดร่างกายของนักโทษคนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนถ่ายให้กับอีกคน เหยื่อที่หมอโจเซฟชื้นชอบที่สุดคือฝาแฝดและคนแคระ มีฝาแฝดประมาณ 14 คู่ที่ต้องจบชีวิต โดยมือของ หมอโจเซฟ (รูปซ้ายล่างคือครอบครัว Ovitz ตระกูลนี้มีพี่น้อง 10 คน และ 7 คน เป็นคนแคระ ทั้ง 12 ชีวิตถูกจับส่งเข้าสู่ค่ายเอาชวิตซ์ เมื่อหมอโจเซฟพบครอบครัว Ovitz เขาคิดว่าพระเจ้าได้ประทานสิ่งหายากยิ่งให้แก่เขา 2 ใน 12เสียชีวิตในการทดลอง ที่เหลือโชคดีที่การทดลองยังไม่ทันจบเยอรมันก็แพ้สงครามก่อนจึงรอดชีวิตมา ได้
ไม่เพียงแต่แพทย์ชายเท่านั้น แพทย์หญิงก็ไม่เว้นที่จะทำการทดลองมนุษย์ด้วย แพทย์หญิงแฮร์ทา โอเบอร์ฮอยเซอร์ ( Dr. Herta Oberheuser ) หมอ แฮร์ทา ทำการทดลองเกี่ยวกับการรักษาบาดแผลที่เกิดจากสงคราม ซึ่งการทดลองของเธอคือการทำให้นักโทษเกิดบาดแผลต่างๆเพื่อให้เธอรักษา เช่น ผ่าร่างกายของเชลยให้เกิดบาดแผล แล้วใส่เศษดิน เศษไม้ใบหญ้า เศษกระจก เศษเหล็ก เป็นการจำลองแผลจากสงคราม จนอับแสบอย่างรุนแรง แล้วทำการรักษาด้วยตัวยาสูตรต่างๆ ส่วนบาดแผลไฟไหม้ เธอก็ทำเหมือนเช่นเดิน เธอจะกีดร่างกายเหยื่อแล้วใส่สาร Phosphorous ลงในแผล แล้วจุดไฟ จะเกิดการลุกไหม้ทำให้เกิดแผลไฟไหม้รุนแรง
สุดท้ายก่อนที่สงครามโลกจะยุติ หลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับการทดลองเหล่านี้ถูกทำลายไปภายในระยะเวลาอันแสน สั้น กลุ่มแพทย์นาซีที่มีเอี่ยวกับการทดลองมนุษย์ที่รอดชีวิตจากสงคราม ส่วนหนึ่งถูกพิจารณาคดีในฐานะอาชญากรสงคราม และอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย ได้กลับเข้ามาทำงานในแวดวงการศึกษาโดยมีทั้งที่ใช้ชื่อเดิมและชื่อใหม่ บางคนก็หลบหนีไปยังต่างประเทศและใช้ชีวิตจนหมดสิ้นอายุไข ทำให้เรื่องของการทดลองมนุษย์ของนาซีกลายเป็นเพียงแค่ฝันร้ายข้ามคืนของชาว โลกเพียงเท่านั้นเอง
การ ทดลองมนุษย์ของนาซีเป็นการทดลองมนุษย์ที่ใช้มนุษย์เป็นๆจำนวนมาก และสังเวยชีวิตกับการทดลองนี้มากเช่นกัน ใน "ค่ายเอาชวิตซ์" (Auschwitz) และดาเชา (Dachau) และที่ค่ายกักกันอื่นๆ ทั่วยุโรป นักโทษที่ส่วนใหญ่เป็นชาวยิวหรือชาวรัสเซียนั้นถูกพวกนาซีใช้เป็นหนูตะเภาใน การทดลองทางการแพทย์หลายอย่าง
ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ในการคิดค้นยา ละการหาวิธีการรักษาทหารเยอรมันจากโรคภัยและอันตรายที่เกิดขึ้นเนื่องๆใน ระหว่างสงคราม วัตถุประสงค์ทางการทหาร โดยได้รับเงินสนับสนุนจากกองกำลังทหารนาซี แพทย์เหล่านั้นมิใช่ถูกบังคับข่มขู่ แต่เป็นการกระหายใคร่รู้ในผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์โดยไม่มีเหตุผลไม่คำนึงถึง ศีลธรรมและไร้ซึ่งจรรยาบรรณ เมื่อคำพิพากษาหนึ่งเดียวสำหรับนักโทษชาวเยอรมัน เชลยชาวยิว โปแลนด์ เชค รัสเซีย ฯลฯ คือ "ไร้ค่า" แพทย์ในคราบสัตว์กระหายเลือดเฝ้ารอคำสั่งจากท่านผู้นำฮิตเลอร์ให้ใช้นักโทษ "ทดลอง" เพื่อความรุ่งเรืองของเยอรมนี
นักวิจัยที่มีชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงที่สุดก็คือ Dr.Sigmund Rascher เป็นผู้ควบคุมการทดลองในดาเชา และยังเป็นคนคิดค้นวิธีการทดลองแนวไซโคแบบต่างๆ เช่น การฉีดไข้มาเลียให้นักโทษที่มีร่างกายปกติดี (ประมาณ 1,100 ในค่ายคาเคา) เพื่อให้คนเหล่านั้นเป็นไข้ขึ้นมา แล้วจึงทดลองรักษาด้วยการใช้ยาชนิดต่างๆ เพื่อศึกษาผล ปรากฏว่า นักโทษหนูตะเภาและนักโทษอื่นๆที่ร่างกายอ่อนแอก็พลอยรับเชื้อติดต่อจากนัก โทษคนอื่นๆไปด้วย ทำให้มีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิตไปในการทดลองครั้งนี้
นอกจากนี้พวกนาซียังทดลองเรื่องสภาวะความกดดันอากาศลดต่ำโดยฉับ พลัน (Decompression) ซึ่งสภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินถูกยิงในขณะบินในระดับสูงๆ อันทำให้ความกดดันอากาศในห้องนักบินที่ปรับไว้พอดีสำหรับร่างกายของมนุษย์ เกิดลดต่ำอย่างกะทันหัน นักโทษที่เป็นหนูตะเภาจะต้องถูกนำไปใส่ห้องที่ปรับความดันอากาศต่ำ และสังเกตอาการ ซึ่งอาการที่ปรากฏก็คือขาดออกซิเจนจนตัวเขียว หายใจเร็ว หนาว อาเจียน จนหมดสติ มีบันทึกของนักโทษคนหนึ่งในค่ายคาเคาที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการทดลองนี้ ว่ามีนักโทษ 200 คนเข้ามาเป็นหนูทดลอง มีคนตาย 70-80 คน
การทดลองเพื่อหาวิธีช่วยชีวิตนักบินทหารอีกอย่าง คือการทดลองคนที่หนาวจนแข็ง เพราะนักบินอาจตกลงในน้ำทะเลที่เย็นจัด เมื่อช่วยนักบินขึ้นจากน้ำแล้วจะมีวิธีใดที่ทำให้ร่างกายของเขาอบอุ่นโดย เร็ว ดังนั้นนักโทษจึงถูกสวมชุดนักบิน แล้วนำไปแช่อ่างที่มีน้ำเย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง ให้หนาวจนถึงที่สุดแล้วนำไปให้ความอบอุ่นด้วยวิธีต่างๆ ถ้าไม่สำเร็จก็ตายไป นอกจากนี้ยังมีการทดลองเกี่ยวกับโรคทั่วไป เช่น วัณโรค เชื้อหนองที่ทำให้เป็นแผลอักเสบ ซึ่งกระทำโดยการฉีดเชื้อเหล่านี้ให้กับนักโทษเพื่อลองยา และที่น่าหดหู่ใจกว่านั้นก็คือ ท้ายที่สุดเหยื่อผู้รอดชีวิตทั้งหมดจะต้องถูกยิงตายในที่สุด แม้ว่าจะรอดจากการทดลองก็ตาม
การพยายามผ่ากะโหลกศีรษะของเหยื่อออกเป็นสองซีก ในขณะที่เหยื่อยังมีสติดีอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะต้องการตรวจสอบระบบการทำงานของสมองมนุษย์ขณะที่ยังมีลมหายใจ นั่นเอง นักวิจัยที่มีชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงที่สุดอีกคนคือ ดร.โจเซฟ แม็งเกเล่ (Josef Mengele) ผู้ควบคุมการทดลองมนุษย์ในค่ายเอาชวิตซ์ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการตัดอวัยวะเพศหรืออวัยวะบางส่วนเพื่อการทดสอบ เรื่องยีน โดยไม่ใช้ยาสลบ การนำนักโทษหญิงมาทดลองต่อกระแสไฟฟ้าว่าชาร์ตสูงเพียงใดถึงจะมีชีวิต การเอานักโทษมาเอ็กซ์เรย์อวัยวะเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ โดยไม่สนใจว่าถ้าปล่อยกระแสไฟฟ้านานๆ จะทำให้อวัยวะนั้นถูกเผาไหม้ ฯลฯ
การทดลองปลูกถ่ายอวัยวะ โดยการผ่าตัดร่างกายของนักโทษคนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนถ่ายให้กับอีกคน เหยื่อที่หมอโจเซฟชื้นชอบที่สุดคือฝาแฝดและคนแคระ มีฝาแฝดประมาณ 14 คู่ที่ต้องจบชีวิต โดยมือของ หมอโจเซฟ (รูปซ้ายล่างคือครอบครัว Ovitz ตระกูลนี้มีพี่น้อง 10 คน และ 7 คน เป็นคนแคระ ทั้ง 12 ชีวิตถูกจับส่งเข้าสู่ค่ายเอาชวิตซ์ เมื่อหมอโจเซฟพบครอบครัว Ovitz เขาคิดว่าพระเจ้าได้ประทานสิ่งหายากยิ่งให้แก่เขา 2 ใน 12เสียชีวิตในการทดลอง ที่เหลือโชคดีที่การทดลองยังไม่ทันจบเยอรมันก็แพ้สงครามก่อนจึงรอดชีวิตมา ได้
ไม่เพียงแต่แพทย์ชายเท่านั้น แพทย์หญิงก็ไม่เว้นที่จะทำการทดลองมนุษย์ด้วย แพทย์หญิงแฮร์ทา โอเบอร์ฮอยเซอร์ ( Dr. Herta Oberheuser ) หมอ แฮร์ทา ทำการทดลองเกี่ยวกับการรักษาบาดแผลที่เกิดจากสงคราม ซึ่งการทดลองของเธอคือการทำให้นักโทษเกิดบาดแผลต่างๆเพื่อให้เธอรักษา เช่น ผ่าร่างกายของเชลยให้เกิดบาดแผล แล้วใส่เศษดิน เศษไม้ใบหญ้า เศษกระจก เศษเหล็ก เป็นการจำลองแผลจากสงคราม จนอับแสบอย่างรุนแรง แล้วทำการรักษาด้วยตัวยาสูตรต่างๆ ส่วนบาดแผลไฟไหม้ เธอก็ทำเหมือนเช่นเดิน เธอจะกีดร่างกายเหยื่อแล้วใส่สาร Phosphorous ลงในแผล แล้วจุดไฟ จะเกิดการลุกไหม้ทำให้เกิดแผลไฟไหม้รุนแรง
สุดท้ายก่อนที่สงครามโลกจะยุติ หลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับการทดลองเหล่านี้ถูกทำลายไปภายในระยะเวลาอันแสน สั้น กลุ่มแพทย์นาซีที่มีเอี่ยวกับการทดลองมนุษย์ที่รอดชีวิตจากสงคราม ส่วนหนึ่งถูกพิจารณาคดีในฐานะอาชญากรสงคราม และอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย ได้กลับเข้ามาทำงานในแวดวงการศึกษาโดยมีทั้งที่ใช้ชื่อเดิมและชื่อใหม่ บางคนก็หลบหนีไปยังต่างประเทศและใช้ชีวิตจนหมดสิ้นอายุไข ทำให้เรื่องของการทดลองมนุษย์ของนาซีกลายเป็นเพียงแค่ฝันร้ายข้ามคืนของชาว โลกเพียงเท่านั้นเอง