Can't find topic? find here

Adsense

Thursday, November 5, 2009

The 5 Most Terrifying Civilizations In mankind History

5 อารยธรรม ที่ขึ้นชื่อว่าน่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
The 5 Most Terrifying Civilizations In The History of the World

หลาย คนมักพูดอยู่เสมอว่าเราจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ทำไมให้ซ้ำๆ ซาก น่าเบื่อทำไม เนื้อหาของมันก็สมัยไหนก็ไม่รู้ไม่น่าสนใจเลย แต่ถึงกระนั้นหลายๆ คนก็ชอบประวัติศาสตร์ เราเรียนรู้เพื่อไม่ให้มันผิดพลาดครั้งที่สอง และหลายๆ คนชอบความโหดร้ายในประวัติศาสตร์ที่หาไม่ได้แล้วในโลกปัจจุบันนี้(แม้บาง ประเทศจะมีก็เถอะนะ)
วันนี้ เราขอย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ไปดูอารยธรรมชาติต่างๆ 5 ชาติ ที่พวกเขามีวิธีกำจัดศัตรูของพวกเขาอย่างแสบสันต์ หรือมีวัฒนธรรมที่แสนสะพรึ่ง โลกทั้งโลกต้องหวาดกลัวพวกเขา....เป็นอย่างไรไปดูกัน
(ปล. ตรง พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ?  เป็นความคิดเห็นของผมเองนะ จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ)

เดอะ เซลทส์(The Celts)
 
          http://en.wikipedia.org/wiki/Celts
         
พวก เขามีปัญหาแย่งชิงพื้นที่กับพวกโรมันอยู่เนื่องๆ ในประวัติศาสตร์บอกว่าเวลาจบการต่อสู้กับพวกศัตรูเมื่อไหร่ พวกเขามักเอาหัวของศัตรูไปประดับบ้าน ตกแต่งบ้านทั้งในและนอก ดังนั้นบ้านของพวก เซลทส์ จึงจะมักเต็มไปด้วยหัวของศัตรูราวกับว่าหัวนั้นเป็นเหมือนถ้วยรางวัลที่ได้ จากการแข่งขัน
พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ? แหม...พวกชาวเซลทส์จำนวนน้อยนี้น่า ด้วยความเป็นลูกผู้ชาย มันต้องหาอะไรมาข่มขวัญให้ศัตรูรู้ว่า “พวกเราไม่...กลัวคุณเว้ย” สิ

ชาวแอซแทค (The Aztecs)
 
DOOM จนหลีกไปเมื่อเจอวิธีการกำจัดศัตรูของชาวแอซแทค(1325 – 1521 )ซึ่ง เป็นชนเผ่าในภาคตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ที่สังเวยศัตรู(บ้างก็ว่าเป็นชาวแอ คแทคเองนั้นแหละ) ให้แก่เทพดวงอาทิตย์ ซึ่งมันโหดร้ายและมันกว่าในเกมส์เยอะ โดยวิธีการคือ ขั้นแรกให้ ศัตรูอาบน้ำแล้วใส่เสื้อคลุมของเทพดวงอาทิตย์ พาขึ้นไปบนหอคอยสูง 30 เมตร ให้นักบวชชาวแอซเทคจับแขนขาไว้คนละข้างแล้วยึดไว้ ขณะที่อีกคนหยิบมีดหินใช้มันผ่าเปิดหน้าอกอย่างช้าๆ (ศัตรูคงดิ้นทรมานสุดฤทธิ์เลยนะนั้น)ดึงหัวใจที่กำลังเต้นของศัตรูออกมาชู หัวใจที่ยังเต้นขึ้นไปยังดวงอาทิตย์ จากนั้นก็กลิ้งศพลงมาตามขั้นบันได เอาไปให้คนชำแหละควักไส้,ถอดเล็บ ถลกหนังศีรษะและพวกเขาก็กินมันอย่างเอร็ดอร่อย(หรือเปล่า) บางครั้งพวกนักบวชอาจจะถลกหนังเหยื่อและนำมาคลุมร่างไว้ถึง 20 วัน โดยไม่อาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อเลย(คงเหม็นนะนั้น) ซึ่งจากสถิตแล้วพบว่า ปี 1487ชาวแอซเทคสังเวยคนไปตั้ง 2 หมื่นกว่าคนด้วยวิธีนี้ภายใน 4 วัน!
 พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ? ชาวแอซแทคเชื่อกันว่าการบูชายัญคือการสร้างสมดุลแห่งสกลจักรวาลระหว่างโลก กับดวงดาวต่างๆ ในอวกาศ ซึ่งถ้าไม่บูชายัญด้วยชีวิตมนุษย์เทพเจ้าจะบันดาลความพินาศแก่ชนเผ่า นอกจากนี้นักประวัติศาสตร์บางคนพบว่าเหตุผลหลักที่ชาวแอซแทคกินเนื้อมนุษย์ อาจเพราะชาวอาซแทคไม่ชอบในการเลี้ยงสัตว์และฆ่าสัตว์ ทำให้พวกเขามักเป็นโรคขาดสารอาหารเสมอ  ทำให้พิธีนี้จัดขึ้นให้พวกเขาได้กินโปรตีนสดๆอีกด้วย....

ชาวอัสซีเรียน (Assyrians)
 
ชาวอัสซีเรียน (Assyrians) เป็น อารยธรรมที่อยู่ในช่วงประมาณปี 3000 ก่อนคริสตกาล ตั้งมั่นในดินแดนทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย บนลุ่มแม่น้ำไทกรีส เจริญถึงขีดสุดในช่วงระหว่างปี 745-626 B.C. ซึ่งกองทัพของอัสซีเรียนมีระบบการรบที่น่ากลัวที่สุดในดินแดนเมโสเปเตเมียใน เวลานั้น คือการใช้กองทัพธนูเหล็กเป็นทัพหน้าตามด้วยกองพันทหารม้าและรถศึก นอกจากนี้พวกเขายังมีอาวุธที่น่าอัศจรรย์ใจนั้นคือเหล็ก(ขณะชาติอื่นยังใช้ อาวุธทองแดงและสำริด) ในการปรับปรามศัตรูนั้นอัสซีเรียทำอย่างเด็ดขาดและค่อนข้างโหดร้ายทารุณ เฉียบขาดด้วยการเผาที่อยู่อาศัยและฆ่าหรือกวดต้อนเชลย เวลาจะจัดการจะสัตว์ก็จะตัดแขนตัดขาศัตรูหรือถลกหนังมาติดกับกำแพงเมือง เพื่อข่มขวัญศัตรู
พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ? เออ..... ยุคสงครามเนอะ วิธีข่มขวัญศัตรูแบบนี้ก็เห็นใช้บ่อยไป คงไม่เป็นไรหรอก เทียบกับสมัยนี้แล้วยังโชว์ตัดหัวคนออกทีวีเลย ซึ่งมันโหดกว่าวิธีการจัดการศัตรูของชาวอัสซีเรียนเยอะ

ชาวสปาตัน (The Spartans )
 
สปาตัน เป็นนครรัฐหนึ่งในกรีกโบราณ (546-371 BC )
คุณ เคยเห็นหนัง 300 ไหม ขอบอกว่าเรื่องของชาวสปาตันนั้นโหดร้ายกว่าในภาพยนตร์เสียอีก ในฉากที่โดยเด็กทารกบนหน้าผานั้นนะ ขอบอกว่าเป็นเรื่องจริง พวกเขาจะกำจัดเด็กที่บกพร่องทางร่างกาย(รูปร่างไม่ปกติ พิกลพิการ) ด้วยการโยนลงหน้าผา จากนั้นเมื่ออายุ 7 ปี เด็กชายก็จะถูกพรากพ่อพรากแม่ไปสู่โลกแห่งความรุนแรง จนเป็นนักรบที่กล้าหาญ (ปล.หาได้แค่นี้แหละ)
พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ? พวกเขาเกิดมาเป็นนักรบ สังคมของชาวสปาตันมีลักษณะแบบทหารเนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจากเฮอร์คิวลิส(Hercules) เด็กต้องออกจากครอบครัวเพื่อฝึกการต่อสู้ ให้ร่างกายและจิตใจแข็งแกร่ง โดนถือว่าเด็กเป็นสมบัติของรัฐไม่ใช้ของบิดา มารดา ทำให้ชาวสปาตันส่วนใหญ่เป็นทหาร ทำให้อาชีพไม่หลากหลาย ส่งผลทำให้นิสัยชาวสปาตันส่วนใหญ่จะเป็นแบบเก็บตัวในรัฐของตนเอง ไม่รู้หนังสือ ไม่คบค้า สมาคมจากอารยธรรมภายนอก จึงถูกมองว่าเป็นพวกป่าเถื่อนและโง่เขลา

จักรวรรดิมองโกล
 
                ให้ เราจินตนาการคนกว่า 100,000 คน มานั่งเต็มสนามสเดเตียมที่มีกว่า 400 หลังดู นั้นแหละคือจำนวนคราวๆ ที่ตกเป็นเหยื่อคมดาบ คมกระบี่ของจักรวรรดิมองโกเลีย
จักรวรรดิ มองโกลเป็นจักรวรรดิที่มีอาณาเขตกว้างขวางมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ก่อตั้งโดย เจงกีส ข่าน เมื่อ ค.ศ. 1206 ครอบคลุมตั้งแต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงยุโรปตะวันออก ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 13-14
ในยุโรป เรียกชาวมองโกลที่รุกรานว่า ตาร์ตาร์(Tartar) ซึ่งมีความหมายว่าผู้มาจากทาทารัส หรือขุมนรกที่ลึกที่สุดในตำนานของกรีก
R. J. Rummel ประมาณการว่าในการรุกรานเพื่อขยายอาณาเขตของชาวมองโกล มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 30 ล้านคน และประชากรของประเทศจีนลดลงไปครึ่งหนึ่งในช่วง 50 ปี ภายใต้การปกครองของมองโกล ยุทธการในการสู้รบของมองโลกคือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนเผ่าที่ไม่ยอมจำนน เพื่อสร้างชื่อเสียงความกลัวแก่ศัตรูอื่นๆ
 ใน ปี ค.ศ. 1346 กองทัพมองโกล เข้าโจมตีเมืองแคฟฟาของอิตาลี กองทัพของมองโกลตั่งทัพอยู่นอกกำแพงอยู่นานไม่อาจเข้าโจมตีเข้าไปในค่ายได้ ต่อมาเกิดกาฬโรคหรือโรคห่าระบาดในกองทัพของมองโกล ทหารล้มตายเป็นเบือศพทหารกองท่วมค่าย แทนทีจะมีการนำศพนั้นไปฝังหรือเผา แม่ทัพมองโกลเกิดไอเดียกระฉูด นำศพทหารที่ตายด้วยโรคห่าใช้แทนก้อนหินเข้าเครื่องยิงข้ามเข้าไปในกำแพง เมืองแคฟฟา คนในเมืองแตกตื่นกับสภาพศพที่เห็น ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเป็นตุ่มพุพองช้ำเลือดช้ำหนองเน่าแฟะ หนำซ้ำเชื่อโรคยังระบายสู่ชาวเมือง ผู้คนล้มคายเป็นจำนวนมาก ที่เหลือลอดก็พากันหนีออกไปนอกเมือง จนในที่สุดไม่อาจต้านอาวุธเชื้อโรคของมองโกลได้เมืองจึงแตก
หลัง จากที่เมืองแคฟฟา อิตาลีแตก กองทัพมองโกลจึงเคลื่อนทัพเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน เข้าโจมตีหมู่เกาะซิซิลี และยุโรปตะวันออกด้วยวิธีการเดียวกัน เพียงแค่ในเวลา 3 ปีในการทำสงคราม คาดว่ามีผู้คนล้มตายด้วยกาฬโรคไม่ต่ำกว่า 25 ล้านค
นับ ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการนำอาวุธเชื้อโรคเข้ามาทำสงคราม และถือว่าเป็นวิธีการที่สกปรกและขยะขแยงที่สุดในหน้าหนึ่งเท่าที่ประวัติ ศาสตร์เคยบันทึกเอาไว้
พวกเขาโหดร้ายจริงเหรอ? เออ.....มันเป็นยุคสงครามเนอะ



Cradited to

http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=486572&chapter=27

No comments:

Post a Comment

Feed up

Freebacklink